เรื่องแปลก ใหม่ น่าสนใจ ข่าวสาร บันเทิง สนุก เซ็กซี่ sexy ที่คุณ อยากรู้ ที่นี่ครับ ^^

SAMAZshop

Translate

ใครที่เซ็งกับการถูกติด Tag บนรูปไม่พึงประสงค์ บน Facebook เตรียมเฮ


ใครที่เซ็งกับการถูกติด Tag บนรูปไม่พึงประสงค์ วันนี้ดีใจได้แล้วเพราะเฟซบุ๊ก (Facebook) เปิดทางให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่ายินยอมให้ใครติดชื่อหรือ tag บนรูปได้หรือไม่ หากไม่ต้องการให้ใครโพสต์รูปตัวเองขึ้นไปยังสามารถส่งคำขอตามไปให้มือโพสต์ลบรูปออกตามต้องการ ระบุเป็นการยกระดับมาตรการป้องกันความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ให้ดีกว่าเดิม 
      
       สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในขณะนี้ คือผู้ใช้จะสามารถติดชื่อหรือ tag ใครก็ได้ลงในข้อความหรือรูปภาพที่โพสต์ไว้บนเฟซบุ๊ก ไม่ว่าคนผู้นั้นจะอยู่ในบัญชีเพื่อนหรือไม่ก็ตาม แต่ชื่อเหล่านั้นจะไม่ปรากฏทันทีในภาพ ต้องรอให้คนเหล่านี้อนุญาตหรือ approve คำขอติดชื่อลงในภาพก่อน ซึ่งเมื่อมีการคลิกตกลงแล้ว ภาพนั้นจึงสามารถปรากฏที่หน้าประวัติของผู้ใช้รายนั้น
      
       เฟซบุ๊กระบุว่าการพัฒนาครั้งนี้มาจากเสียงร้องเรียนของสาวกเฟซบุ๊ก เนื่องจากที่ผ่านมา ชาวเฟซบุ๊กบางรายไม่ต้องการให้ภาพกิจกรรมที่ตัวเองเคยทำปรากฏบนหน้าประวัติเฟซบุ๊กของตัวเอง เมือเฟซบุ๊กรับรู้จึงพัฒนาความสามารถใหม่เพื่อให้ผู้ใช้มีทางเลือก


Kate O’Neill ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของเฟซบุ๊กระบุว่าระบบอนุญาตให้ติด Tag ในเฟซบุ๊กนั้นจะมีผลกับทั้งโพสต์ที่เป็นข้อความด้วย ซึ่งจะมีผลเฉพาะกับการแทรกชื่อลงในภาพหรือข้อความทุกอย่างบนเฟซบุ๊ก ดังนั้นระบบจะไม่มีผลกับการโพสต์ภาพที่ปรากฏใบหน้าของผู้ใช้เฟซบุ๊ก เพียงแต่ผู้โพสต์ภาพจะต้องรอคำอนุญาตของผู้ติด Tag ก่อนจึงจะมีชื่อปรากฏติดในภาพ
      
       "เราต้องการทำให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลเท่าที่ต้องการได้ง่ายขึ้น" O’Neill ระบุ
      
       การติดชื่อในโพสต์ข้อความหรือในภาพนั้นมีความสำคัญต่อการค้นหาในภายหลัง (Search) ดังนั้นผลกระทบหลักจากการเปิดช่องให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กต้องอนุญาตก่อนจึงจะติดชื่อลงในภาพหรือข้อความบนเฟซบุ๊กได้ คือความล่าช้าในการค้นหาข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับบุคคลนั้นๆ 
      
       ยังมีความสามารถใหม่ที่ชาวเฟซบุ๊กควรรู้ ทั้งวิธีการขอให้ผู้โพสต์ภาพลบภาพที่โพสต์ขึ้นไปแล้ว การใช้คุณสมบัติใหม่ “view profile as’’ เพื่อให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กได้เห็นหน้าประวัติของตัวเองในมุมมองผู้ใช้รายอื่น





---------------------------------------------------------------------


ขั้นตอนวิธีการลบแท็คโฆษณษาบน Facebook และบล็อคไม่ให้ แท็คได้อีก 


วิธี ทดสอบ น้ำผึ้งแท้



 น้ำผึ้ง นอกจากจะใช้แต่งกลิ่นแต่งรสในอาหาร ขนม และเครื่องดื่มแล้ว ยังใช้เป็นส่วนผสมในยาหลายขนาน รวมทั้งสูตรเสริมความงามอีกหลายสูตร เรียกได้ว่านำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย มีคุณค่าทางอาหารและมีสรรพคุณทางยา แต่การใช้น้ำผึ้งเพื่อให้ได้คุณค่าที่แท้จริงนั้น ต้องเลือกน้ำผึ้งแท้เท่านั้น ขณะที่ความต้องการน้ำผึ้งมีมากกว่าที่ผลิตได้ตามธรรมชาติ จึงมีคนทำน้ำผึ้งปลอมมาหลอกขายกัน วันนี้จึงมีวิธีสังเกตและทดสอบน้ำผึ้งแท้มาฝากค่ะ 
       
       สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการรับประทานน้ำผึ้ง เพียงแค่สังเกตจากลักษณะและลองชิมดู ก็อาจทราบแล้วว่าเป็นน้ำผึ้งแท้หรือไม่ แต่สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่ชำนาญ คงเป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดลงไป น้ำผึ้งส่วนใหญ่ที่ขายตามห้าง ยี่ห้อที่มีชื่อเสียงมานาน ก็ไม่น่าจะเอาชื่อเสียงของตัวเองมาเสี่ยง แต่สำหรับน้ำผึ้งที่ชาวบ้านหาบขายหรือวางขายตามร้านค้าตามบ้าน ก่อนจะเลือกซื้อต้องพิจารณาให้ดี
       
       วิธีพิสูจน์น้ำผึ้งแท้ที่เราเคยทราบกันมา เช่น หยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษทิชชู น้ำผึ้งแท้จะซึมผ่านช้ามาก แต่น้ำผึ้งปลอมจะซึมผ่านเร็ว หรือทำให้กระดาษทิชชูขาดทะลุ เนื่องจากมีปริมาณน้ำเจือปนอยู่มาก หรือวิธีนำหัวไม้ขีดมาจุ่มน้ำผึ้ง แล้วนำไปจุดที่ข้างกลักไม้ขีด ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะจุดไฟติด ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะจุดไฟไม่ติดเพราะจะดูดซึมน้ำเอาไว้ อีกวิธีก็คือหยดน้ำผึ้งลงในแก้วใส่น้ำเย็น น้ำผึ้งแท้จะจมลงก้นแก้วแล้วค่อยละลาย ส่วนน้ำผึ้งปลอมเมื่อหยดลงน้ำจะกระจายตัวทันที
       
       วิธีการต่างๆ เหล่านี้ที่จริงแล้วบอกได้เพียงความเข้มข้นของน้ำผึ้ง แต่บางครั้งก็ไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นน้ำผึ้งแท้หรือไม่ เพราะน้ำผึ้งที่ผสมแบะแซหรือคาราเมล ก็มีความข้นหนืดเหมือนน้ำผึ้งแท้ได้เช่นกัน
       
       การทดสอบน้ำผึ้งว่าเป็นของแท้หรือไม่ ต้องใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ทดสอบเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน จึงจะทราบแน่ชัด ไม่มีวิธีการทดสอบง่ายๆ ตามที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมา อย่างไรก็ตาม มีหลักเกณฑ์ที่พอจะใช้สำหรับสังเกตน้ำผึ้งแท้ได้ ดังนี้
       
       - น้ำผึ้งต้องมีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาล แต่ถ้ามีสีเข้มมากจนดำแสดงว่าเป็นน้ำผึ้งที่เก็บมานานแล้ว ซึ่งคุณประโยชน์อาจจะลดน้อยลงไป ควรสังเกตวันหมดอายุที่ข้างขวดด้วย
       
       - น้ำผึ้งต้องใสสะอาด ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่มีผึ้งปน ถ้ามีแสดงว่าวิธีการเก็บเกี่ยวไม่ดี
       
       - เขย่าขวดดูฟองอากาศและการแยกชั้น น้ำผึ้งแท้จะมีฟองอากาศใหญ่ ลอยตัวเร็ว เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แยกชั้น ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะมีฟองอากาศมาก ลอยตัวช้า และมองเห็นการแยกตัวเป็นชั้น
       
       - น้ำผึ้งแท้จะมีความหนืด เหนียว ไหลช้าเวลาเท แม้จะอยู่ในสภาพอากาศร้อน
       
       - น้ำผึ้งควรมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ระบุไว้บนฉลาก เช่น น้ำผึ้งลำไยก็ควรมีกลิ่นลำไย นอกจากนี้ควรมีกลิ่นรสตามธรรมชาติ ไม่บูดเปรี้ยวหรือเป็นฟอง
       
       - สังเกตจากผลึกของน้ำผึ้ง หลายคนเข้าใจผิดว่า น้ำผึ้งแท้นั้นไม่ตกผลึก แต่น้ำผึ้งปลอมตกผลึก ความจริงแล้วทั้งน้ำผึ้งแท้และน้ำผึ้งปลอมตกผลึกได้เหมือนกัน เพียงแต่รูปแบบของผลึกจะแตกต่างกัน ผลึกของน้ำผึ้งแท้จะเป็นเหลี่ยมเป็นแท่งที่แหลมคม ส่วนน้ำผึ้งปลอมที่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือคาราเมล ผลึกจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู แต่ต้องส่องดูด้วยกล้องจุลทัศน์จึงจะมองเห็น ส่วนน้ำผึ้งปลอมที่ทำจากแบะแซจะไม่มีการตกผลึก น้ำผึ้งที่ตกผลึกก้นขวด อาจเป็นเพราะเก็บไว้นานแล้ว
       
       - ถ้าดูน้ำผึ้งไม่เป็นเลย ก็อาจสังเกตจากฉลากว่า มีชื่อผู้ผลิตและที่อยู่ชัดเจน บริษัทผู้ผลิตน่าเชื่อถือหรือไม่ ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือไม่ เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกซื้อ โดย อย. ได้กำหนดให้น้ำผึ้งเป็นอาหารควบคุมเฉพาะ ต้องมีคุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนด ห้ามเจือสีและห้ามใช้วัตถุเจือปนอาหารทุกชนิด ภาชนะบรรจุต้องสะอาด แห้ง ปิดสนิท ไม่มีสี ไม่มีสารพิษที่อาจละลายออกมา และสามารถมองเห็นน้ำผึ้งที่บรรจุอยู่ภายในได้ ปริมาณที่บรรจุต้องครบตามที่ระบุไว้ในฉลาก ที่สำคัญ ต้องมีเครื่องหมาย อย. บนฉลาก
       
       เมื่อเลือกซื้อน้ำผึ้งที่ดีได้แล้ว ก็ต้องเก็บให้ดีด้วย ควรเก็บในภาชนะปิดสนิท เก็บในที่เย็น แต่ไม่จำเป็นต้องแช่ตู้เย็น และไม่ควรถูกแสงแดด เพราะจะทำให้น้ำผึ้งเสียคุณค่าทางอาหารก่อนที่เราจะรับประทานหมด ตามอายุการใช้งานแล้วไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 2 ปี
       
        และแม้ว่าน้ำผึ้งจะมีสรรพคุณมากมาย แต่ก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะหากรับประทานมากเกินไป แทนที่จะได้ประโยชน์ อาจทำให้เกิดโทษได้ โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่น้ำผึ้งแท้  
        

ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ ทรงเผย ประชวรเป็นโรคพุ่มพวง (โรคแพ้ภูมิตัวเอง )




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ ทรงเผยประชวรด้วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง  พร้อมทั้งรับสั่งจะทรงทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ตามเจตนารมณ์ของในหลวง-พระราชินี 
          เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จทรงเป็นประธานในการเปิดตัวหนังสือ "ความในใจของข้าพเจ้า" และได้ทรงรับสั่งถึงการทรงงานด้วยว่าพระองค์ประชวรเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง ซึ่งก็เป็นโรคเดียวกับโรคพุ่มพวง หลังจากที่พระองค์ทรงงานที่ต่างจังหวัดเป็นเวลา 3 วัน ทำให้พระหัตถ์บวม อีกทั้งหลายปีที่ผ่านมามีผลกระทบที่กระดูกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งขณะนี้แพทย์รักษาพระองค์ได้ฉีดยาระงับอาการปวดแล้ว 

          ทั้งนี้   ยังทรงรับสั่งด้วยว่า จะทรงงานเพื่อประชาชนต่อไป โดยจะทำตามเจตนารมณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสอนเอาไว้ ให้มีสติและสิ่งที่สำคัญที่สุดให้รำลึกรู้หน้าที่ที่ตัวเองมี ในฐานะที่เกิดมาเป็นลูก ท่านสอนให้รำลึกถึงหน้าที่ที่มีต่อประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ทรงบอกว่าเราอยู่ได้เพราะประชาชน ฉะนั้นต้องทำทุกอย่างเพื่อประชาชนคนไทย

รู้จัก โรคเอสแอลอี หรือโรคพุ่มพวง

 
 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต 

          เพราะเคยสร้างความตื่นตะลึงด้วยการคร่าชีวิตราชินีลูกทุ่ง “พุ่มพวง ดวงจันทร์” มาแล้ว จึงทำให้คนไทยรู้จัก “โรคเอสแอลอี” กันในนาม “โรคพุ่มพวง” ซึ่งแม้ว่าช่วงนี้เราจะไม่ได้ยินชื่อของโรคนี้บ่อยนัก แต่รายงานทางการแพทย์ก็ยังพบผู้ป่วยด้วยโรคเอสแอลอีอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด รายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ได้นำเสนอข่าวของคุณแม่สู้ชีวิตที่ต้องเผชิญกับโรคเอสแอลอี อีกทั้งลูกชายวัย 3 ขวบเศษก็ต้องเจอโรคทางกระดูกรุมเร้า ทำให้ชีวิตของเธอและลูกชายไม่ได้สุขสบายเช่นคนทั่วไป…

          ขณะเดียวกัน หลายคนที่ได้รับรู้ข่าวนี้ อาจยังไม่รู้จักโรคเอสแอลดี และอยากรู้ว่าโรคนี้ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตหรือไม่ วันนี้เราจะพาไปค้นคำตอบของโรคเอสแอลอี หรือโรคพุ่มพวงกันค่ะ
          โรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematosus - SLE) หรือ โรคลูปัส จัดเป็นโรคที่เรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในกลุ่มภูมิคุ้มกันเพี้ยน ซึ่งไม่ได้เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรงอย่างที่ผู้คนส่วนมากเข้าใจ โรคเอสแอลอีเกิดจากการที่ผู้ป่วยมีการผลิตโปรตีนของภูมิคุ้มกันในเลือดที่เรียกว่า “แอนติบอดี้” ขึ้นมามากเกินปกติ ทำให้เกิดปัญหาในอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่ว่าทั้งทางตรงและทางอ้อม กล่าวคือจากปกติที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะต่อต้านเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม เช่น แบคทีเรีย หรือไวรัสจากภายนอกร่างกาย  แต่กลับต่อต้านร่างกายของตัวเอง จนทำให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ  ถ้าเป็นรุนแรงจะมีการทำลายอวัยวะภายในด้วย เช่น ไต หัวใจ ปอด และระบบประสาท 

          สำหรับความรุนแรงของโรคจะแตกต่างกันไปในแต่ละคนบางคนเป็นรุนแรง บางคนเป็นไม่รุนแรง และในรายที่เป็นไม่รุนแรงวันดีคืนร้ายก็จะเป็นรุนแรงขึ้นมาได้อีก ในปัจจุบันโรคนี้ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการของโรคให้สงบ และดำเนินชีวิตได้ตามปกติหากรักษาได้ทันท่วงที
          ทั้งนี้ ผู้ป่วยด้วยโรคแอสเอลอี ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงวัยสาวถึงวัยกลางคน อายุระหว่าง 20-45 ปี อายุเฉลี่ยประมาณ 30 ปี โดยผู้หญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชายประมาณ 9:1 และพบได้ในทุกเชื้อชาติ แต่จะพบในคนผิวดำและผิวเหลืองมากกว่าผิวขาว โดยเฉพาะบริเวณเอเชียตะวันออก  เช่น ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฮ่องกง และจีน 
 สาเหตุของโรคเอสแอลอี  
          ในปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคเอสแอลอีแน่ชัด  แต่จากหลักฐานทางการวิจัยพบว่า โรคนี้มีความเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์, ฮอร์โมน และการติดเชื้อโรค (โดยเฉพาะเชื้อไวรัส) นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ผู้ป่วยที่เป็นหรือมีโอกาสเป็นโรคเอสแอลอี มีอาการรุนแรงขึ้น เช่น แสงแดด โดยเฉพาะแสงอุลตร้าไวโอเลต การตั้งครรภ์ และยาบางชนิด
          1. พันธุกรรม พบว่าในแฝดจากไข่ใบเดียวกันมีโอกาสเกิดโรคนี้ถึงร้อยละ 30-50 และร้อยละ 7-12 ของผู้ป่วยเอสแอลอี เป็นญาติพี่น้องกัน เช่น แม่และลูกสาว หรือในหมู่พี่น้องผู้หญิงด้วยกัน
          2. ติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่สามารถค้นพบเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ได้
          3. ฮอร์โมนเพศโดยเฉพาะเอสโตรเจน โรคที่พบมากในสตรีวัยเจริญพันธุ์ บ่งชี้ว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศ นอกจากนี้ความรุนแรงของโรคยังแปรเปลี่ยนตามการมีครรภ์ ประจำเดือน และการใช้ยาคุมกำเนิด
           4. แสงแดดและสารเคมี ยาบางอย่างเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรม โรคแสดงอาการของโรคนี้ได้ 
 อาการของโรค 
  
          โรคเอสแอลอี เป็นโรคที่มีลักษณะการแสดงออกได้หลากหลาย อาจมีอาการเฉียบพลันและรุนแรง หรือมีอาการค่อยเป็นค่อยไปเป็นช่วยระยะเวลานานหลายปี หรืออาจมีอาการแสดงออกของหลายอวัยวะในร่างกายพร้อมๆ กัน หรือมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละอย่างก็ได้ โดยอาการที่พบบ่อยนั้น ได้แก่ มีไข้ ผื่นขึ้นที่ใบหน้า เกิดแผลในปาก ผมร่วง มีอาการปวดข้อ บางครั้งก็เป็น พอรักษาก็หายไป แต่แล้วก็เป็นขึ้นมาอีก ส่วนอาการอื่นๆ มีดังนี้
           อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด เป็นอาการที่พบได้บ่อยในขณะโรคกำเริบ
           อาการทางผิวหนังและเยื่อบุช่องปาก ในระยะเฉียบพลันที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ผื่นรูปปีกผีเสื้อ ลักษณะเป็นผื่นบวมแดงนูนบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก ผื่นจะเป็นมากขึ้นเมื่อถูกแสงแดด ปลายเท้าซีดเขียวเมื่อถูกน้ำหรืออากาศเย็น ผมร่วง มีแผลในปาก
           อาการทางข้อและกล้ามเนื้อ เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดข้อมากกว่าลักษณะข้ออักเสบ มักเป็นบริเวณข้อเล็กๆ ของนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเท้า หรือข้อเข่า เป็นเหมือนๆ กันทั้ง 2 ข้าง ร้อยละ 17-45 พบอาการปวดกล้ามเนื้อ
           อาการทางไต ผู้ป่วยบางรายมาพบแพทย์ด้วยอาการทางไตเป็นอาการนำ อาการแสดงที่สำคัญของไตอักเสบจากลูปัส ได้แก่ บวม ปัสสาวะเป็นฟอง ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ ความดันโลหิตสูง
            อาการทางระบบเลือด อาการที่พบได้แก่ อ่อนเพลียหน้ามืดจากภาวะซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และเกร็ดเลือดต่ำ อาจพบจุดจ้ำเลือดออกตามตัวได้
           อาการทางระบบประสาท อาการที่พบได้ คือ อาการชักและอาการทางจิต นอกจากนี้อาจมีอาการปวดศรีษะรุนแรง หรือมีอ่อนแรงของแขนขา อาจพบได้ในระยะที่โรคกำเริบ
           อาการทางปอดและเยื่อหุ้มปอด อาการที่พบบ่อย คือ เยื่อหุ้มปอดอักเสบ อาการแสดงคือเจ็บหน้าอก โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าสุด ตรวจพบมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด บางรายมีอาการปอดอักเสบซึ่งต้องแยกจากปอดอักเสบติดเชื้อ
           อาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือด ที่พบบ่อยคือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ซึ่งมักพบร่วมกับเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการ เจ็บหน้าอก มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ เหนื่อยง่าย โรคหลอดเลือดหัวใจส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภาวะหลอดเลือดแข็งจากการได้รับยาสเตียรอยด์นานๆ นอกจากนี้ภาวะความดันโลหิตสูง ก็เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยจากไตอักเสบเรื้อรัง และจากการได้รับยาสเตียรอยด์
           อาการทางระบบทางเดินอาหาร ไม่มีอาการที่จำเพาะสำหรับโรคลูปัส อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง ซึ่งเป็นผลจากการใช้ยารักษาโรคลูปัส เช่น NSAIDS ยาสเตียรอยด์ อาการยังคงอยู่ได้แม้จะหยุดยาไปเป็นสัปดาห์
 การรักษา 
          ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาใดที่ทำให้หายขาดได้ แต่การปฏิบัติตัวที่ดี การเลือกใช้ยาที่ถูกต้องทั้งชนิด ขนาด และช่วงเวลาที่เหมาะสม จะสามารถควบคุมอาการของโรคนี้ได้ การรักษาด้วยยายากลุ่ม NSAIDS และยาต้านมาลาเรีย (คลอโรควีนและไฮดรอกซีคลอโรควีน) ในผู้ป่วยที่มีอาการเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากนัก เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการอย่างโรคตามทางผิวหนัง มีผื่นที่หน้า ปวดข้อและปวดกล้ามเนื้อ โดยที่ผลการตรวจทางปัสสาวะปกติ อย่างไรก็ตามในกรณียาเหล่านี้ควบคุมอาการไม่ได้ อาจให้ยาสเตียรอยด์ในขนาดต่ำๆ (prednisolone < 10 มิลลิกรัม /วัน) ร่วมด้วย เมื่อควบคุมโรคได้จึงค่อยลดยาลง
          ยาสเตียรอยด์ เช่น prednisolone เป็นยาหลักที่ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบของอวัยวะสำคัญต่างๆ จากโรคลูปัส แพทย์จะปรับขนาดของยาตามอาการและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องให้ยากดระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆ ร่วมด้วย
 ปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อป่วยเป็นโรคเอสแอลอี  
          1. ในระยะแรกต้องได้รับการรักษาด้วยยา ต้องรับประทานยาตามขนาดและระยะเวลาที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด
          2. ควรพยายามอย่าให้ผิวหนังถูกแสงแดดโดยตรง ควรใส่หมวกปีกกว้าง กางร่ม และสวมใส่เสื้อแขนยาวเวลาที่จำเป็นต้องออกแดด
          3. ทำจิตใจให้สบาย ไม่ควรเครียด ถ้อถอย เศร้าใจ หรือกังวลใจ เพราะทำให้อาการกำเริบได้ ควรมีกำลังใจและมีความอดทนต่อการรักษา
          4. เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารประเภท เนื้อสัตว์ ไข่ นม ผักและผลไม้ต่างๆ มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง
          5. เนื่องจากผู้ป่วยเอสแอลอี มีโอกาสติดเชื้อโรคได้ง่ายจึงต้องคอยระวังตัว ไม่เข้าใกล้ผู้อื่นที่กำลังเป็นโรคติดต่อ เช่น โรคหวัด พยายามไม่อยู่ในที่ผู้คนแออัด นอกจากนี้อาหารที่รับประทานทุกชนิดควรเป็นอาหารที่สะอาดและต้มสุกแล้ว
          6. ทำตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล และไปรับการตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์ในการรักษาและประเมินความรุนแรงของโรค และผลการรักษาแพทย์จะได้พิจารณา ให้การรักษาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
          7. ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์ผู้รักษาบ่อยๆ เพราะแพทย์คนใหม่อาจจะไม่ทราบรายละเอียดของอาการเจ็บป่วย ทำให้เกิดความล่าช้าในการวินิจฉัยและการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน หรืออาจเป็นอันตรายได้
          8. ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะจะมีโอกาสแพ้ยาได้บ่อยและรุนแรงกว่าคนธรรมดา
          9. ไม่ควรเพิ่มหรือลดขนาดยาเอง
          10. ถ้ามีอาการผิดปกติ มีไข้ หรือไม่สบาย ควรรีบกลับไปปรึกษาแพทย์ผู้รักษาทันที หรือหากจะไปหาแพทย์อื่น ควรนำยาที่กำลังรับประทานอยู่ไปให้แพทย์ดูด้วยทุกครั้ง เพื่อว่าแพทย์จะได้จัดยาได้ถูกต้องและสอดคล้องกับยาประจำที่รับประทานอยู่

          11. ผู้ป่วยหญิงที่แต่งงานแล้ว ไม่ควรมีบุตรในระยะที่โรคกำเริบ เพราะจะเป็นอันตรายต่อแม่และเด็กในครรภ์ ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิด เพราะอาจจะทำให้อาการของโรคกำเริบขึ้น ควรเลี่ยงใช้วิธีอื่น­ๆ แทนโดยการปรึกษาแพทย์ ผู้ป่วยจะสามารถตั้งครรภ์ได้ เมื่อพ้นระยะที่โรคมีความรุนแรงแล้ว แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์และขณะตั้งครรภ์ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ 

เครื่องป้องกันตัว อุปกรณ์ป้องกันตัว สำหรับผู้หญิง


Voice of women : อุปกรณ์ป้องกันตัว เครื่องป้องกันตัว ผู้หญิง ฉบับที่แล้วแนะนำให้ผู้หญิงเราไปเรียนศิลปะป้องกันตัวกัน ฉบับนี้เลยต่อเนื่องอีกหนึ่งบทการ “หยุดยอม” เป็นเหยื่อ ด้วยการแนะนำอุปกรณ์ป้องกันตัวสำหรับผู้หญิง แต่สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้คือ ถึงคุณจะได้เรียนศิลปะป้องกันตัวหรือมีอุปกรณ์ป้องกันตัวอยู่ในมือ ก็ใช่ว่าเราจะสามารถสู้คนร้ายได้ราวกับ นางฟ้าของชาลีทั้งสามในหนัง เครื่องป้องกันตัวเหล่านี้สิ่งที่ทำได้ก็คือประวิงเวลาให้คนร้ายชะงักและคุณวิ่งหนีเอาตัวรอดไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเท่านั้น และจำไว้เสมอว่า สิ่งหนึ่งที่คุณต้องมีเสมอถึงแม้จะมีอาวุธป้องกันตัว มีเครื่องป้องกันตัวในมือก็ตาม คือสติและความระมัดระวัง
   


เครื่องป้องกันตัว : ไฟฉายป้องกันตัวรุ่นพิเศษ 
                เป็นไฟฉายขนาดพกพาเล็กเพียง สามนิ้วครึ่ง ใช้ป้องกันตัวได้ เพราะสามารถยิงแรงดันไฟฟ้าได้ถึง 500,000 โวลต์ ทำให้ผู้ร้ายหมดแรงไฟกองกับพื้นเลย (ความเห็น webmaster : เรื่องที่ว่าช๊อตแล้วจะลงไปกองกับพื้นเลยนี้ ผมไม่ยืนยันนะครับ เพราะจากประสบการที่โดนเครื่องป้องกันตัวชนิดนี้ ช๊อต ก็ไม่ถึงสลบขนาดนั้น อาจจะไม่ใช่รุ่นเดียวกับที่ Cosmo อ้างถึงก็ได้ แต่ถ้าเป็นรุ่นตามรูปนี้ รับรองได้ว่า ไม่เป็นอะไรมาก แค่เจ็บๆ ครับ) และสามารถพ่นแก๊ซน้ำตาได้ด้วย ทำให้ผู้ร้ายลืมตาไม่ขึ้น อย่างน้อยก็ต้องหลับตาห้านาทีชาร์จไฟฟ้า และซองหนัง
 
เครื่องป้องกันตัว : นกหวีด 
                คุณรู้มั้ยว่า เครื่องป้องกันตัวแบบนี่มีประโยชน์มากเลยในยามคับขัน และเป็นอุปกรณ์ที่ผู้หญิงหลายคนพกติดตัวไว้ใช้ยามฉุกเฉินโดยเฉพาะเวลาเกิดเหตุในที่ที่คนคับคั่ง เช่น โดนกระชากกระเป๋า หรือโดนลวนลามบนรถเมล์ ถ้าคุณคิดจะพกนกหวีด ต้องอยู่ในจุดที่ใกล้มือ เช่น แขวนคอ(ไม่ใช่ไอเดียที่ดีที่จะห้อยไว้กับซิปกระเป๋า เพราะถ้าถูกวิ่งราวกระเป๋าหรือกระเป๋าหลุดจากไหล่ก็จะคว้าไม่ถึง) ปัจจุบันมีนกหวีดมากมายและมีดีไซน์สวยงาม สามารถนำมาใช้งานเป็นเครื่องประดับได้เลย
 
เครื่องป้องกันตัว : พวงกุญแจ ขอความช่วยเหลือ 
                เป็นพวงกุญแจอันเล็กๆ และมีไฟฉายด้วยเหมาะจะพกติดตัวด้วยการห้อยไว้กับหูเข็มขัด เพราะแค่กระตุกเท่านั้นมันก็จะส่งเสียงร้องทั้งแหลมและดังแถมนาน(จนกว่าจะถ่านหมด) ทำให้คนอื่นหันมาสนใจคุณ ช่วยให้คนร้ายที่จะทำร้ายชะงัก และอาจเปลี่ยนใจเดินหนีไปและคุณเองก็สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้
 
เครื่องป้องกันตัว : สเปรย์พริกไทย 
                สเปรย์พริกไทย อุปกรณ์ป้องกันตัวชนิดนี้ สามารถฉีดได้ในระยะห่าง 2-3 เมตร (หนึ่งขวดสามรถใช้ได้ 20-30 ครั้ง อายุการใช้งานห้าปี) เวลาฉีดควรกำให้แน่น เล็งไปที่ใบหน้าคนร้าย กลั้นหายใจแล้วฉีดไปเลย 2-3 ครั้ง อย่าฉีดทวนลมเพราะมันจะเข้าหน้าเราเอง ควรพกสเปรย์พริกไทยไว้ในที่ที่หาง่ายๆ หยิบสะดวก ถ้าใส่กระเป๋าก็ไม่ควรใส่ช่องที่รูดซิป เพราะจะหยิบไม่ทัน เวลาที่ต้องเดินกลางคืนดึกๆ หรือ อยู่ในที่เปลี่ยว หรือนั่งแท็กซี่คนเดียว ควรหยิบออกมากำไว้เลย ให้เห็นว่าเรามีอุปกรณ์ป้องกันตัว เพราะถ้าเหยื่อมีของป้องกันตัวได้ คนร้ายมักจะเปลี่ยนเป้าหมายเลือกเหยื่อใหม่ 

เครื่องป้องกันตัว : สีสเปรย์ล้างน้ำไม่ออก 
                สเปรย์ขวดนี้ เป็นเครื่องป้องกันตัวที่มีทีเด็ดอยู่ที่ว่าเป็นสีที่ล้างน้ำไม่ออก ดังนั้นถ้าคุณฉีดไป รับรองว่าถ้าผู้ร้ายอยู่ในละแวกนั้นตำรวจตามจับตัวได้แน่ๆ เพราะสีจะติดอยู่ 3-5 วัน และก็มีด้วยกันหลายสี เช่น ดำ ส้ม เหลือง นับเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่น่าสนใจมากสำหรับผู้หญิงเสียแต่ว่ายังไม่มีขายในบ้านเรา ถ้าสนใจคงต้องฝากเพื่อนซื้อเวลาไปเมืองนอก
 
                ตำรวจฝากบอก
                สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนว่า มีระบบของกลุ่มมิจฉาชีพทำทีมาขายสเปรย์ปรับอากาศในรถยนต์ แต่จริงๆ สารในกระป๋องคือคลอโรฟอร์มที่ทำให้คุณสลบได้ทันที คนร้ายจะมาเป็นทีม โดยเริ่มจากเด็กสาวหน้าตาดีมาเคาะกระจกขณจอดรถ หรือรี่เข้ามาขณะกำลังเข้ารถบริเวณลานจอดรถหรือตามที่สารธารณะ เมื่อโดนฉีดสเปรย์และคุณงัวเงีย ผู้ชายอีก 2-3 คนจะเข้ามาปลดทรัพย์หรือทำร้าย
  

" คำขวัญกรุงเทพฯ "" จากเดี่ยว 9 โดยโน้ตอุดม แต้พานิช



กรุงเทพฯ งามสง่า ตระการตาอุโมงค์ยักษ์ ใครประจักษ์แสนปราโมทย์ ต่างชาติโหวตเมืองน่าเที่ยว มาครั้งเดียวต้องสะดุด วิเศษสุดคือรถติด หนีควันพิษมีรถไฟฟ้า อนิจจาสั้นไปไหน ? ไม่เป็นไรมีแท็กซี่ โบกกี่ทีพี่บอกส่งรถ ทีฝรั่งแม่งไปหมด งามหมดจด 2 มาตรฐาน สุขสราญรถเมล์ฟรี จากภาษีกูนี่หนอ ต้องยืนรอ 3 ชั่วโคตร แต่ห้ามโกรธเพราะมันฟรี    ส่วน 3G รอไม่นาน 3 รัฐบาลน่าจะเสร็จ iPhone7 คงออกแล้ว แต่ไม่แคล้วช้ากว่าลาว นางสาวไทยเริ่มขัดตา สวยงามกว่าอยู่มอเตอร์โชว์ สวยไฮโซอยู่พารากอน สวยเงินผ่อนอยู่แพลตตินั่ม สวยคล้ำๆ อยู่หน้าราม สวยพยายามอยู่ยันฮี มากศักดิ์ศรีคือช่างกล ตีทุกคนไม่...เลือก หน้า มีดระเบิดปืนปากกา ลูกหลงมาเราสุขสันต์ เมืองล่าฝันบ้านAF อยากเป็นเซเลบไป The Star อยากดันดาราไปหา VT อยากโดนด่าฟรีไป Got Talent อยากเห็นฝรั่งให้ไปข้าวสาร อยากแต่งงานให้ไปบางรัก ถ้าอกหักกลับมาบางพลัด แวะพาหุรัดซื้อผ้าสุดคุ้ม ศูนย์ประชุมไปขายหนังสือ ขายมือถือไปมาบุญครอง ขายทองไปเยาวราช ขายชาติ...ไปสภา...

ติดตาม เรื่องแปลก ใหม่ ตลก สนุก เซ็กซี่ sexy น่าสนใจอื่น ๆ หรือแวะมาทักทายกัน ได้ที่
www.facebook.com/somphon http://gplus.to/somphon www.twitter.com/samaphon www.facebook.com/somphon.me http://samaphon.blogspot.com/

          ขอขอบคุณที่มา : email