บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
หญิงเหล็กเหยื่อไฟไหม้ซานติก้า พร้อมต่อสู้กับโชคชะตาที่พลิกผัน รัตนา แซ่ลิ้ม (Woman's Story) ย้อนกลับไปในคืนเค้าท์ดาวน์สู่ปี 2009 กับเหตุการณ์ไฟไหม้ซานติก้า ผับดังย่านเอกมัย ที่ยังคงเป็นความทรงจำฝังลึกในใจหลายต่อหลายคน ภาพคนเจ็บและตายนับร้อย เสียงหวอยังดังก้องในจิตใจของผู้เคราะห์ร้ายเสมอมา เราขอไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์ครั้งนี้ เชื่อได้ว่าคงไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น ถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้เป็นอย่างดี รัตนา แซ่ลิ้ม(จิ๊บ) หญิงสาวหน้าตาดี วัย 29 ปี เธอเป็นเหยื่ออีกคนหนึ่งในเหตุการณ์ไฟไหม้ซานติก้าครั้งนั้น ชีวิตจิ๊บถูกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชีวิตพลิกผันดิ่งลงสู่จุดต่ำสุด จากหญิงสาวหน้าตาสะสวยทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว เป็นเสาหลักที่คอยดูแลทั้งคุณแม่และลูกสาววัย 8 ปี หลังเหตุการณ์นั้นทำให้เธอต้องสูญเสียมือขวาไปตลอดชีวิต แถมสภาพร่างกายของจิ๊บกลับเปลี่ยนแปลงไป ไม่เหลือเค้าโครงความสวยดังเดิม แต่โชคดีที่จิตใจของจิ๊บยังยิ้มได้ และพร้อมก้าวเดินต่อไปในโลกของความเป็นจริง เพราะเธอไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา... |
ช่วยเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ซานติก้าในวันนั้นนิดนึงค่ะ เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นหลังเค้าท์ดาวน์สู่ปี 2009 มีการจุดไฟเย็นในร้านค่ะ หลังจากพ้นเค้าท์ดาวน์ปุ๊บ เราก็ออกมายืนหน้าร้านเพื่อจะดูพลุสักพักนึง แล้วก็ย้อนกลับไปข้างในอีกรอบ โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดไฟไหม้ ตอนนั้นแฟนพยายามจะจับมือเราพาออกไป แต่พอดีมันมีคนวิ่งผ่านมือเราเลยหลุดออกจากกัน พอหันหน้ากลับไปดูตรงหน้าเวทีไฟก็ไหม้แล้ว จากนั้นไฟข้างในร้านก็ดับ รู้สึกตกใจมาก ด้วยความที่คนแน่นมาก เบียดกันจนเราไม่สามารถหนีได้ เพราะว่ามันเป็นครั้งแรกของการไปซานติก้า จึงไม่รู้ทิศทางว่าต้องออกทางไหน โดนดันไปเรื่อย ๆ จนถึงกลางร้าน ตอนนั้นรู้สึกว่าแน่นหน้าอกเหมือนกำลังจะตาย มันร้อนมาก หายใจไม่ออก แต่ยังพอมีสติอยู่บ้างเลยลงไปนั่ง ทำให้มีอากาศหายใจได้บ้างเล็กน้อย หลังจากนั่งอยู่สักพักเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว อยู่ ๆ ก็เลยนึกถึงแม่กับลูกได้ จึงพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วก้าวข้ามกระจกออกมาเอง จากนั้นก็สลบ มารู้สึกตัวอีกทีตอนนอนอยู่ที่โรงพยาบาลคามิลเลียนแล้วค่ะ วินาทีที่โดนไฟไหม้ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรบ้างคะ จิ๊บไม่ได้โดนไฟครอกทั้งตัว โดนไอความร้อนอย่างเดียวเลยค่ะ แต่มันก็ลึกเข้าไปถึงระดับ 3 ยังจำความรู้สึกได้ว่าเหมือนไก่ย่าง ร้อนระอุและทรมานมาก ความจริงผิวเรามันบางมากด้วย วันนั้นจิ๊บใส่เสื้อสายเดี่ยว ช่วงที่รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว โชคดีที่เรายังมีสติลงไปนั่ง ถึงไม่ได้โดนไฟครอกโดยตรง แต่ความร้อนที่มันระอุไหม้ลงไปถึงผิวชั้นใน รู้สึกทรมานที่สุดในชีวิต หายใจเข้าไปมันทั้งแสบมันทั้งร้อน สู้ไม่ไหว เหมือนจะตายในวินาทีนั้น |
รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานเท่าไหร่คะ ความจริงอยู่ที่รพ.คามิลเลียน แค่คืนเดียว แล้วก็ย้ายมาที่ รพ.นพรัตนราชธานี อยู่มาตลอด 11 เดือน คุณแม่มานอนเฝ้าตลอด 6 เดือนแรก ตอนนั้นน้องซี (ลูกสาว) ต้องไปฝากน้องสาวเลี้ยง ส่วนช่วง 5 เดือนหลัง เราต้องนอนที่โรงพยาบาลคนเดียว มันทำให้เราพยายามหาทางออก รู้สึกว่าเราต้องเก่งขึ้นและยอมรับกับความจริงให้ได้ ต้องยอมรับว่าทีมแพทย์และพยาบาลทุกคนดูแลดีมาก คุณหมอบอกว่าขอให้ภายในเราไม่เป็นไร นอกนั้นหมอรับไหว ตลอดระยะเวลาที่อยู่โรงพยาบาลนาน 11 เดือนต้องเจอกับอะไรบ้างคะ วันแรกที่ฟื้นขึ้นมายังใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่แล้วก็ไห้ยาตลอด ช่วงให้ยาก็จะนอนอย่างเดียว ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด พอมาเดือนที่ 2 -3 เริ่มมีอาการเจ็บปวดเข้ามาเยอะมาก ช่วงที่เริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง 5 เดือนแรกเราอยากตายตลอด ไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย การผ่าตัดหรือทำแผล ทุกอย่างมันคือความเจ็บปวดทรมาน เวลาเอาผ้าก๊อตหรือสำลีแตะลงไปเจ็บมาก ดิ้นก็แล้ว ร้องก็แล้ว มันทรมานเกินไป เรารับไม่ได้ก็เลยรู้สึกอยากตาย ทุก คนที่เห็นสภาพจิ๊บตอนนั้นบอกว่าไม่รอดแน่ ๆ ขนาดจิ๊บดูรูปแล้วยังไม่คิดว่าตัวเองจะรอดเลย มันน่ากลัวมาก ๆ เบ้าตาก็บวมแดง แต่ก็รอดมาได้ พยาบาลเลยให้ฉายาจิ๊บว่า "หญิงเหล็ก" พบตัวเองในสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปรู้สึกอย่างไรบ้างคะ ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเป็นเยอะขนาดนี้ รู้สึกแต่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงกับร่ายกายแค่นั้น แค่เสียมือขวาเราก็เสียใจมาก คิดว่าเราเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต เรารับไม่ได้ ทุกคนพยายามปิดไม่ให้รู้ จนวันนึงที่พยาบาลพาไปอาบน้ำในอ่างสแตนเลส พอนั่งปุ๊บมันสะท้อน เห็นตัวเองแล้วตกใจมาก คือใจหล่นวูบไปเลย ทำไมมันถึงเป็นเยอะถึงขนาดนี้ คือไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาให้สวยได้อีกแล้วนะ ต้องยอมรับว่าแผลพวกไฟไหม้น้ำร้อนลวก จะให้กลับมาเหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นเป็นไปไม่ได้ การเห็นตัวเองครั้งแรกในแบบที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกตกใจมาก ไม่อยากอยู่อีกแล้ว มันทรมานเกินไปการที่จะต้องอยู่แบบนี้ นึกสภาพไม่ออกว่าจะอยู่ได้ยังไง ช่วงนั้นจึงต้องเอาธรรมะเข้ามาช่วยด้วย สวดมนต์และก็มีการตั้งสมาธิ มีจิตเวทเข้ามาดูแล ทำให้จิตใจเราดีขึ้นเรื่อยๆ จนเราพบกับทางออกว่าเราจะอยู่กับสังคมได้อย่างไร แล้วตอนนี้อาการความเจ็บปวดและแผลเป็นอย่างไรบ้างคะ ความร้อนในชั้นผิวหนังยังไม่หมด ถ้าผิวเราโดนความร้อนหรือไปเสียดสีกับอะไร มันก็จะเป็นน้ำพองขึ้นมา แล้วแตกเป็นแผล พอเวลาแผลหายจะเกิดอาการดึงรั้งของผังฝืด ต้องมีการผ่าตัดอยู่ตลอด ที่ผ่านมามีการผ่าตัดช่วงคอและแขน แต่สิ่งที่ทำไปแล้วสำหรับเรามันก็เกิดขึ้นได้อีก จะไม่หายขาด ต้องคอยระวัง คอยสู้กับมันอยู่เรื่อย ๆ ถามว่าต้องผ่าตัดแบบนี้ไปกี่ครั้ง มันไม่สามารถบอกได้เลย ท้อเหมือนกัน ท้อกับเรื่องการผ่าตัด ถึงแม้เข้ารับการผ่าตัดมา 9 ครั้งแล้วก็ตาม แต่ยังมีความกลัวอยู่ ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจออกมาด้วยตอนกลับบ้าน ตอนกลางคืนมันนอนไม่หลับ เพราะจะไอตลอด ทรมานมาก ยังรู้สึกกลัวกับการที่ต้องเจ็บตัวแบบนี้ |
สภาพร่างกายเปลี่ยนไปแบบนี้มีวิธีการดูแลตัวเองอย่างไรคะ หลังอาบน้ำทำแผล 2 ครั้ง เช้า – เย็น ต้องทาครีมและน้ำมันมะพร้าวให้ผิวชุ่มชื่น เราต้องใส่ชุดรัดผิวเพื่อกระชับแผลให้มันเรียบ แต่เราไม่สามารถใส่ได้เพราะแผลมันยังมีความร้อนระอุอยู่ หลาย ๆ อย่างมันก็ต้องอดทนไปก่อน ถ้าวันไหนร้อนมากก็จะทาหลายรอบ พยายามทาอยู่เรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ผิวแห้งตึง บางทีตี 1 – 2 ยังเรียกคุณแม่ให้ลุกขึ้นมาทา คุณแม่คอยดูแลเรามาตลอด ตั้งแต่ตอนอยู่โรงพยาบาล พยาบาลก็จะสอนวิธีการทำแผล ทุกวันนี้ต้องกินยาวันละ 2 ครั้ง และพยายามรักษาความสะอาด ต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ พยายามไม่ให้ติดเชื้อ นอกจากระวังเรื่องความสะอาดแล้วต้องระวังเรื่องอาหารการกินด้วยไหมคะ เรื่องอาหารการกินหมอจะไม่ห้าม ไข่ก็ทานได้ ทานได้หมดทุกอย่าง แต่พวกของแสดงหมอบอกอย่าไปกินมาก หมอเน้นให้กินเยอะ ๆ อ้วนไว้ก่อน เพื่อเรียกเนื้อมาเสริมส่วนอื่น ช่วงนั้นหนังส่วนหน้าและแขนมันหลุดหมด ก็เอาส่วนอื่นมาแปะ แต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายเรื่องยาและอุปกรณ์รักษามากน้อยอย่างไรคะ ถ้ารวมทั้งหมดก็ประมาณ 35,000 บาท ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ เพราะว่าต้องใช้แอร์ อยู่ในห้องแอร์ตลอด แล้วก็ค่ากิน ค่ายา คุณแม่ก็ไม่สามารถประกอบอาชีพได้เลย ต้องมาดูแลจิ๊บ ครีมขวดนึงสมัยนี้มันก็แพงมาก ตกขวดละ 200-300 บาท น้ำมันมะพร้าวก็ 400 กว่าบาท ขวดนึงใช้ได้ประมาณ 1 เดือน แล้วอะไรที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ทำความสะอาดเราก็ต้องซื้อเองทั้งหมดค่ะ รายจ่ายเราค่อนข้างเยอะ เราไม่มีรายรับเลย มันก็เลยเป็นปัญหาหนักมาก จิ๊บโชคดีที่ได้ออกรายการคุณสรยุทธ มีเงินยอดบริจาคที่ทำให้เราอยู่ได้ แล้วตอนนี้ได้ไปเป็นพิธีกร ถ้ามีการอบรมเกี่ยวกับเรื่องไฟไหม้ เราก็ได้เชิญไปพูดตามโรงพยาบาล รายได้จากตรงนี้ต้องใช้จ่ายทุกวัน จึงอยากให้คดีจบเร็ว ๆ เพราะชีวิตเรามันก็ต้องดำเนินต่อไป ตอนนี้เหตุการณ์ผ่านไปจะ 2 ปีแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างคะ มันก็เสียใจ แต่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรกลับคืนมาได้ เราก็คิดว่ามันเป็นกรรมที่เราต้องชดใช้ คิดไว้แค่นี้ แต่เราก็ยังมีบุญที่เรายังไม่ตาย มันไม่มีอะไรที่จะแย่ไปกว่านี้ เหมือนจุดต่ำสุดของชีวิตแล้ว ถ้าย้อนไปได้ก็คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เสียใจตรงที่เรากลายเป็นคนที่เลี้ยงครอบครัวไม่ได้แล้ว ไม่สามารถทำงานหาเงินได้ เลี้ยงดูแม่กับลูกได้ กลับกลายเป็นว่าทุกคนต้องมาดูแลเราแทน เสียใจตรงนี้ที่ทำให้ครอบครัวลำบากมาก วันข้างหน้าจะเกิดอะไรก็ไม่รู้ ทุกวันนี้ชีวิตเราไม่แน่นอน อะไรที่เราอยากทำก็ทำเถอะ ดูแลพ่อแม่ที่เรายังมีอยู่ ถึงวันนั้นเราไม่สามารถย้อนกลับไปได้มันน่าเสียใจนะ แต่ก่อนเราเคยจะดูแลแม่ แต่ตอนนี้ไม่สามารถกลับไปดูแลเค้าได้ก็เสียใจอยู่ลึก ๆ เราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ |
ณ วันนี้มุมมองการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรคะ ณ วันหนึ่งเราเจอทางออก ได้คุยกับนักจิตวิทยาหรือหลายคนที่เข้ามาช่วยเหลือ ทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น เหมือนทุกอย่างมันปลงได้หมด เลยกลับคิดได้ กลายเป็นทุกวันนี้เรามีความสุข ถึงแม้เราจะเป็นแบบนี้นะ อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำไม่เอามาเป็นปมด้อยว่าเราเป็นแบบนี้นะ คือใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะเป็น เรื่องเกิดขึ้นมาแล้ว เราจะมานั่งเสียใจตลอดเวลาไม่ได้ มันต้องมีแต่สิ่งที่ดีขึ้น ต้องดิ้นรนสู้กันต่อไป อย่างน้อยเราก็ยังมีแม่ที่รักและห่วงใยเรา มีลูกที่น่ารักที่ไม่เคยรังเกียจสภาพร่างกายแม่เลย จิ๊บใช้ชีวิตอย่างปกติ ไม่ต้องไปสนใจใครญาติพี่น้องคอยพาไปกินข้าวข้างนอก ไปเดินห้างสรรพสินค้า ไปซื้อของ ไปเดินเล่นกับลูก พี่น้องดูแลเราอย่างดีเวลาออกไปข้างนอก ก็คิดว่าเราไปเดินเที่ยว เวลามีคนมอง ถ้าเค้าเคยเห็นในทีวีก็จำเราได้ แต่บางคนก็มองด้วยความสงสัยว่าไปโดนอะไรมา เราไม่สามารถห้ามความคิดใครได้ ต้องรับจุดนั้นให้ได้ อย่าไปแคร์กับสายตาของคนทั่วไป ใครจะมองก็ช่างเขา ต้องต่อสู้ไม่ยอมแพ้ไม่อาย ไม่กลัว แค่เราใส่ใจความรู้สึกคนที่รักเราก็เพียงพอแล้ว ครอบครัวให้กำลังใจอย่างไรบ้างคะ ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มองมาที่แม่กับลูกเราแล้วทำให้คิดได้ว่า ยังมีคนที่รักเราอยู่นะ แม่เคยบอกว่าขอให้รอดกลับมาสภาพไหน แม่ก็รับได้ ส่วนลูกสาว ก็เคยถามเค้าว่าถ้าแม่ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดชีวิตหนูรับได้มั้ยลูก หนูจะอายเพื่อนมั้ย ลูกสาวทำหน้าแบบไม่กลัว ไม่สน ไม่เป็นไร แล้วบอกว่าหนูจะเลี้ยงแม่ หนูจะดูแลแม่ ทุกวันนี้เค้าก็กอดหอมเรารักเราเหมือนคนปกติ ดีใจที่ลูกรักเรา ไม่หวาดกลัวกับสภาพร่างกายของเรา ทุกวันนี้รู้สึกว่ากำลังใจเรามันเยอะมาก ๆ ทั้งแม่ ทั้งลูก และญาติพี่น้องของเราเองเห็นเราเหมือนคนปกติ เพื่อนบ้านก็รักเรา ทุกคนพร้อมที่จะก้าวไปด้วยกัน มันไม่มีอะไรที่ต้องอาย เลยทำให้เราสู้ได้จนถึงทุกวันนี้ ฝากอะไรถึงคนที่กำลังประสบกับสภาพชีวิตเช่นเดียวกันหน่อยสิคะ ทุกคนมีปัญหาแตกต่างกันไป อยู่ที่ว่ามันจะเจอหนักหรือเบา ถ้ามัวแต่วิ่งหนีมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เคยมีครั้งหนึ่งที่คิดฆ่าตัวตายเหมือนกันแต่ก็ไม่กล้า เพราะเรารู้ว่าความทรมานมันเป็นยังไง เลยได้แต่คิด เรายังมีครอบครัว คนข้างหลังที่พร้อมจะสู้ไปกับเรา เท่านี้ก็มีความสุขมากพอแล้ว ขอให้เรารับสภาพที่เป็นอยู่ให้ได้ มันก็ไม่มีอะไรต้องมานั่งกังวล ทุกวันนี้จึงยิ้มได้ และพร้อมสู้ต่อไปคะ (ยิ้ม) Woman's Story ต้องยกนิ้วให้และยอมรับกับความกล้าหาญของผู้หญิงคนนี้เลยล่ะค่ะ ในที่สุดเธอก็สามารถฝันฝ่าบททดสอบครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตมาได้ สมเป็นตัวอย่างหญิงเหล็กที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ท่านใดที่ต้องการสมทบทุนช่วยเหลือให้เธอได้มีกำลังใจสู้ต่อ ก็สามารถร่วมบริจาคกันได้ ด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีรัตนา แซ่ลิ้ม ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางยี่ขัน บัญชีออมทรัพย์ 137-095-4388… |