โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 ตุลาคม 2553 10:41 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
น้องพลับตอนเด็กๆ
หากย้อนกลับไปเมื่อ5-6ปีก่อนแน่นอนว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักเด็กอ้วนตัวอ้วน กลม "น้องพลับ จุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ " เจ้าของบทเพลงฮิตติดปาก "ใครๆก็ไม่รักผม ขนาดผมลมยังส่ายหน้าเลย..." หรือจะเป็นบทเพลงน่ารักๆ ของเด็กขี้สงสัย "คุณครูครับ" ทำเอาใครหลายคนที่ได้ฟังคงนั่งอมยิ้ม
แต่แล้วความเพลิดเพลินกับเสียงเพลงในวงการบันเทิงก็ต้องสิ้นสุดลง เมื่อเจ้าตัวตัดสินใจหันหลังให้วงการบินลัดฟ้าไปเรียนต่อยังประเทศอเมริกา จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมา 4 ปี นักร้องหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักน่าชัง กลับโตเป็นหนุ่มสไตล์เกาหลีแต่ยังคงไว้ลายความน่ารักน่าชังเหมือนเดิม ช่องซูเปอร์บันเทิงก็เลยเชิญมาพูดคุยกันในรายการเปิดหมดเปลือก
"ตอนแรกที่ออกอัลบั้ม พลับอายุประมาณ 9-10 ขวบ อัลบั้มที่ 2 ก็ห่างจากอัลบั้มแรก 2 ปีได้ เพลงที่ติดหู ก็เป็นเพลงจะหกขะล้ม หลังจากนั้นก็หายปีได้ 4 ปีครับหลังจากที่ออกอัลบั้ม 2 พลับก็ไปเมืองนอก รู้สึกอยากเริ่มเข้าไฮสคูล เลยเริ่มอ่านหนังสือ"
"ที่ตัดสินใจไปเรียนต่างประเทศโดยทิ้งงานที่เมืองไทยไปเพราะ ตอนนั้นก็เหมือนกับว่าเรายังเด็กด้วยครับ คือตอนนั้นเราคิดว่างานเพลงมันเป็นอะไรที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเราอยู่ แล้ว เลยอยากหาอะไรใหม่ๆ ทำ ก็เลยอยากไปเมืองนอกแทนแต่คุณแม่บอกว่าพลับยังเด็กเกินไป แต่ตอนนั้นคือเราเป็นประเภทอยากทำอะไรทำเลย เขียนใบสมัครก็เขียนเลยก็ไปสอบ ยังลากคุณพ่อคุณแม่ไปอเมริกา โรงเรียนที่พลับไปอยู่มีครบทุกอย่าง มันครบครันอลังการมาก เมืองไทยไม่ค่อยมี แต่พอไปก็คิดถึงเมืองไทย"
"ไปอยู่ที่นั่นใหม่ๆ น้ำตาร่วงเลยครับ(หัวเราะ) คิดถึงเมืองไทย คิดถึงแฟนเพลง คิดถึงวงการเพราะที่นั่นมีแต่เรื่องการเรียน เป็นเมืองที่มีแต่การเรียน มันเหงามาก โรงเรียนที่พลับไปเรียนก็มีคนไทยเรียนอยู่ 3คน ที่เหลือเป็นจีนเป็นเกาหลีประมาณพันกว่าคนได้ แรกๆ คุณแม่ต้องไปอยู่ด้วยเลยนะครับต้องเช่าบ้านห่างจากหอพักไปประมาณ 2 ตึก(หัวเราะ)เดือนแรกเราก็กินอะไรไม่ได้เพราะซึมครับ หลังจากนั้น 3อาทิตย์คุณแม่บินกลับมาเยี่ยม เลยถามว่าเป็นอะไรทำไมหน้าเขียวขนาดนี้ เหมือนกับไม่ได้กินอะไร ซึ่งพลับไปกินเนื้อวัวเพราะถือเจ้าแม่กวนอิม แล้วที่นั่นก็มีแต่เนื้อวัว ก็จะกินแต่เต้าหู้กินผัก กินบะหมี่สำเร็จรูปแทน"
"คือเราไปอยู่ที่นั่นโดยไม่มีครอบครัวมันรู้สึกเหงามาก แต่ก็ไปมีเพื่อนเยอะแทน เดือน 2 เดือนแรกยังซึมอยู่แต่พอหลังจากนั้นเริ่มปรับตัวได้เพื่อนเลยเยอะแทน เทอมแรกแทบไม่ได้เรียนเลย เพราะโรงเรียนมีกิจกรรมเยอะ โรงเรียนของพลับ ม.4 - ม.6 จะไม่มีเหมือนบ้านเรา เพราะอาจารย์ที่มาสอนส่วนใหญ่เป็นระดับด็อกเตอร์ที่สอนในมหาวิทยาลัย เขาก็จะสอนหลักสูตรเท่ากับเราเรียนปี 1ในมหาวิทยาลัย ฉะนั้นไม่ว่าคุณอยากเรียนอะไรก็สามารถเรียนได้หมด"
"พลับจะเก่งทางด้านวิทย์มากกว่า เพราะเรามีของเล่นตอนเด็กๆ ที่เสริมสร้างพัฒนาการมาด้านนี้โดยเฉพาะ คุณแม่ก็ปลูกฝังมาทางด้านนี้โดยเฉพาะซึ่งเราเองก็ชอบด้วย แต่พลับต้องเรียนไปด้วยทำกิจกรรมไปด้วย ถ้าเรียนอย่างเดียวพลับก็คงเบื่อง่าย ถ้าทำอะไรซ้ำๆ คงเบื่อง่าย ถ้าไม่มีดนตรีพลับก็คงเรียนไม่ได้"(หัวเราะ)"
เรียนเก่งถึงขั้นได้เกียรตินิยม จนสามารถเลือกมหาวิทยาลัยได้ถึง 7 แห่ง แต่ต้องทิ้งฝันเพราะคุณพ่อต้องการให้กลับมาเมืองไทยเพื่อหาประสบการณ์ชีวิต
"พอเรียนจบม.6 พลับก็ได้เกียรตินิยมท็อป 10 เปอร์เซ็นต์ของห้อง ก็สามารถเลือกได้ซึ่งพลับเองก็ได้หลายมหาวิทยาลัยเหมือนกัน คุณพ่อเลยบอกว่าให้กลับมาอยู่เมืองไทยสักปีนึงก่อน เขาคิดถึงก็กลับมาช่วยที่บ้านด้วยเพราะเดี๋ยวไม่ได้ประสบการณ์ชีวิต มัวแต่เรียนอย่างเดียว มหาวิทยาลัยที่ได้ตอนนั้นมีประมาณ 6 -7 ที่พลับก็เลยต้องสละสิทธิ์หมด ถามว่าเสียดายไหมก็เสียดาย แต่คิดว่าปีหน้าถ้าเราสมัครก็คงรับเราอีก คะแนนเราก็ไม่ได้น้อยลงประสบการณ์ก็มีมากขึ้น"
"พอได้กลับมาเมืองไทยเมื่อเดือนมิถุนายน ก็ได้ช่วยธุรกิจรีสอร์ทโรงแรมของที่บ้านอยู่ 2 เดือน แล้วก็มีธุรกิจส่งออกข้าวส่งออกสิ่งทอ พลับช่วยเรื่องการเขียนเว็ปไซต์ อย่างเช่นโรงแรมยังขาดพวกรายละเอียดข้อมูลอะไรก็เขียนตรงนี้ให้แขกได้อ่าน แล้วก็ดูเรื่องสัญญาบริษัททัวร์"
ตั้งแต่กลับมา เนื้อหอมมีแต่คนสนใจ เตรียมแพลนลุยทำอัลบั้มเดี่ยวต้นปีหน้า
"พอกลับมาแล้วก็ได้มีโอกาสไปออกรายการทีวีรายการหนึ่ง พอหลังให้สัมภาษณ์รายการนั้นเสร็จ ก็มีที่อื่นติดต่อเข้ามาเยอะมาก ทั้งสัมภาษณ์นิตยสารไป 14 ฉบับ รวมไปถึงนสพ.อีกเยอะมาก 2อาทิตย์นั้นทุกวันเลยครับ"
"กลับมาเมืองไทยก็ได้เดินแบบมีคนติดต่อมาให้พลับใส่สูทแบบเดฟๆ นิดนึง เพราะเราไม่เคยใส่ ก็ตื่นเต้นครับเราต้องซ้อมเยอะนิดนึง พอเดินจริงๆ ก็มีคนกรี๊ดเพราะตกใจ กลับมาก็ซึ้งนะครับที่มีแฟนเพลง พี่ๆ สื่อยังจำเราได้ เราดีใจที่ยังสนใจเราอยู่เพราะหายไปเมืองนอกนานบางทีอาจจะลืม"
"แล้วก็มีอยู่วันนึงไปแกรมมี่พี่โปรดิวเซอร์ เห็นพลับเลยบอกว่าอยากจะให้ทำอัลบั้ม ก็เลยเริ่มแพลนไปแล้ว จะทำอัลบัมเดี่ยวหรือไม่ก็ลองทำซิ้งเกิลเดียวไปก่อน ดูฟีคแบคไปก่อน ถ้าเผื่อว่าดีก็คงทำอัลบั้มเลย ตอนนี้โปรดิวเซอร์ก็เขียนเพลงให้พลับแล้วซึ่งต้องรอไฟเขียวจากทางผู้ใหญ่ ก่อน อย่างทุกวันนี้ก็ยังเรียนร้องเพลงอยู่ เรียนกับครูโรจน์ เพราะเสียงเราเพิ่งแตก เลยต้องเรียนร้องเพิ่ม มันร้องเสียงสูงมากไม่ได้"
"แล้วพลับก็อยากแต่งเพลงเองด้วยก็พยายามอยู่ คิดว่าคงมีโอกาสแต่งเพลงแน่นอนครับ แต่ก็ยังไม่มีเนื้อหาในใจเลย พลับก็โตแล้วคงคิดว่าเนื้อหาเพลงก็คงต้องโตขึ้นด้วย คงไม่ใสๆเหมือนตอนเด็กๆ แล้ว ถ้าได้ทำอัลบั้มจริง เรื่องเรียนก็คงต้องไปคุยกับทางมหาวิทยาลัยด้วย คือต้องคุยล่วงหน้าก่อน"
เปิดเผยเรื่องความรักแอบมีแฟนตั้งแต่อายุ 13
"คือเรื่องความรักจริงๆ พลับมีแฟนตั้งแต่อายุ 13 (หัวเราะ) ซึ่งตอนนั้นยังอยู่เมืองไทยอยู่เลย เขาเป็นคนไทย เราคบกันได้ 2ปีพลับไปอยู่ที่นั่นก็เลิกกันเลย พอไปอยู่ที่นั่นก็เหมือนมีกิ๊ก เดทกันได้ 3 เดือนคือความสัมพันธ์มันไม่ได้ซีเรียสอะไร สบายๆ เรื่อยๆ ก็รักใสๆ"
เหวอกลับมาเมืองไทยไม่ทันไร มีข่าวเป็นเกย์ จำใจเฉลยเพิ่งอกหักจากสาวเชค
"ตอนรับงานเดินแบบเสร็จก็มี พี่ๆนักข่าวมาถาม ว่ามีข่าวว่าพลับไม่แมน ถามว่าตกใจไหม คือพลับมีเพื่อนคนสนิทเป็นคนไทย 2 คน ซึ่งพลับว่าเขาคงไม่พูดอะไรที่ไม่ดีแน่นอน พลับว่าพี่เขาคงถามไปอย่างนั้นคิดอะไรได้คงถาม เขาคงอยากรู้พลับเองก็ตอบไปครับว่าไม่มีอะไรครับ พลับชอบผู้หญิง เขาคงสนใจเรา แต่ก็ไม่โกรธมองไปในแง่ดี ก็เลยเฉลยไปว่าพลับเพิ่งอกหักจากสาวเชค (หัวเราะ) คืออกหักก่อนกลับเมืองไทย ประมาณ 3อาทิตย์ เพราะพลับรู้สึกชอบเขา พลับคิดว่าถ้ามีโอกาสได้คบกันเขาคงเป็นผู้หญิงที่ทำให้คุณแม่พลับไม่อาย เขาเล่นดนตรีเก่ง เหมือนจะเข้ากันได้ดี"
"พลับเองก็จะพามาหาคุณแม่บ่อยๆ ตอนที่คุณแม่ไปอยู่ที่นั่น ก็ชวนมาทานข้าวที่บ้านพอผู้หญิงกลับ พลับก็ถามแม่ว่าคนนี้โอเคไหม แม่ว่าก็น่ารักดีแต่อยากให้เรียนก่อน ถามเรื่องผู้หญิงในสเปคพลับคือต้องบอกก่อนว่าจริงๆ พลับเคยคบมาหลายๆแบบทั้งลูกครึ่งจีนก็มี แต่ถ้าให้เลือกจริงๆ ก็คงชอบแบบน่ารักๆ รับข้อเสียของพลับได้เพราะพลับอยากทำอะไรทำ หัวดื้อก็ต้องรับตรงนี้ได้ เพราะเรามีเป้าหมายที่วางไว้ แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งเท่าเรา ให้เป็นตัวของตัวเอง แค่อยู่ด้วยกันคุยด้วยกันรู้เรื่องก็พอ"
เจ้าตัวได้เตรียมวางแผนธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นของตัวเอง ตั้งแต่อายุ 18 แต่ลึกๆ ยังอยากทำงานในวงการอยู่
"ความใฝ่ฝันที่อยากจะทำอะไรเป็นของตัวเองหรอครับ อยากทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คุณแม่มีที่ดินเยอะ อยากทำหมู่บ้านจัดสรรครับ เราอยากทำแต่ก็คิดว่าอยากพอสมควรก็ปรึกษาคุณแม่แล้ว คือคุณแม่มีที่ดินแถวสุขุมวิทเยอะเลยอยากทำเป็นทาว์เฮาท์เล็กๆ เพราะท่านเป็นคนที่ชอบซื้อที่ดินอยู่แล้ว"
"ส่วนงานในวงการก็ยังให้ความสนใจ แต่กว่าพลับจะเรียนจบพลับคงอายุ 22-23 ก็น่าจะรู้แล้วละว่าเราต้องการอะไร ถ้าเรายังต้องการงานวงการบันเทิงเราก็คงเดินหน้าเต็มที่กับมัน แต่ถ้าตอนนั้นเราอยากหาอะไรแตกต่างมากกว่านี้คงไปทำงานธุรกิจอย่างที่ ตั้งใจ"