นายพิทยา ปักเข็ม ทนายความของสาวซีวิค อายุ 17 ปี ได้แถลงการณ์ฉบับที่ 2 เพื่ออธิบายเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนทางยกระดับอุตราภิมุข หลังจากที่ออกแถลงการณ์ฉบับแรกออกมาเมื่อไม่นาน แต่ยังพบว่าสังคมยังมีข้อสงสัยอยู่อีกหลายประการ จึงได้ออกแถลงการณ์ออกมาล่าสุด
หลังจากการออกแถลงการณ์ฉบับแรก ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่ปรากฎบนตัวถังของรถตู้โดยสารและรถบนต์ซีวิค ซึ่งทีมกฎหมายขอยืนยันว่ามีข้อเท็จจริงที่ชัดเจน จากภาพถ่ายรถคู่กรณีทั้งสองคัน ไม่พบร่องรอยสีของรถยนต์ทั้งสองคันติดกัน ซึ่งมีความเป็นไปได้ยาก หากเกิดการเฉี่ยวชนอย่างรุนแรงขนาดนั้น จะไม่เกิดร่องรอยหรือสีของรถทั้งสองคันติดอยู่บนตัวถังรถซึ่งกันและกัน จึงขอให้สังคมโปรดพิจารณาตามข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ยังเล็งเห็นว่า อาจมีความเป็นไปได้ว่ารถยนต์ทั้งสองคัน อาจจะไม่ได้เฉี่ยวชนกัน แต่อาจเกิดจากการเสียหลัก เพราะเหตุที่รถตู้โดยสารขับค่อมเลนและปาดหน้ามายังช่องทางเดินรถด้านขวาสุดอย่างกะทันหัน ขณะที่รถซีวิคก็พยายามหักหลบหนี จนเกิดเป็นอุบัติเหตุขึ้นดังกล่าว ส่วนเหตุที่รถตู้โดยสารเสียหลักหรือไม่อย่างไร เป็นเรื่องที่ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องศึกษาว่า เกิดจากสภาพของรถหรือเกิดจากผู้ขับขี่ และหากมองจากภาพวิดีโอที่ปรากฎทางสื่อต่างๆ น่าจะเห็นได้ชัดเจนว่า รถซีวิคได้เบนหน้ารถออกมาทางด้านซ้าย ซึ่งเป็นการหักหลบ เพื่อให้พ้นการเฉี่ยวชน
ส่วนการโพสต์ข้อความลงในอินเตอร์เน็ต โดยนำภาพของผู้ต้องหาขณะพยายามใช้โทรศัพท์ติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปลงพร้อมกับมีรูปประกอบการโพสต์ข้อความในโทรศัพท์แบล็คเบอร์รี ทำนองว่า "เซ็งเลย รถเราไปเฉี่ยวรถตู้" หรือ "อัพรูปไปแล้วภาพรถตู้ด้วย เหมือนในหนังเลยตะเอง" หรือ "อีกแปปก็ไปแล้ว พ่อกำลังเคลียร์กับนักข่าวอยู่" หรือ ขึ้นสถานะว่า "เมื่อกี้ชั้นขับรถชนรถตู้ คนตายไปเท่าไหร่ไม่รู้ 555 ตื่นเต้นชะมัดเลยอ่า เด๋วอัพรูปลงเฟสบุ๊คให้ดู" อันเป็นเหตุให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมในเชิงลบอย่างหนัก ทางทีมกฎหมายได้ชี้แจ้งว่า ข้อความดังกล่าวฝ่ายผู้ต้องหาไม่ได้เป็นผู้โพสต์ และภายหลังจากเกิดเหตุ ผู้ต้องหาที่ถูกอัดอยู่ใต้พวงมาลัยรถ จนกระทั่งได้รับการช่วยเหลือและถูกพยุงมาพิงกับขอบทางด่วน พร้อมทั้งได้รับคำแนะนำจากหน่วยกู้ชีพให้โทรติดต่อหาญาติและผู้ปกครอง โดยหน่วยกู้ชีพได้ไปหาโทรศัพท์จากรถยนต์ซีวิคมาให้กับผู้ต้องหาใช้ ในจังหวะที่กำลังกดโทรศัพท์อยู่นั้น ก็ถูกช่างภาพถ่ายรูปไว้และต่อมาเรื่องดังกล่าวก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าข้อความในโทรศัพท์แบล็คเบอร์รีนั้น ผู้ต้องหาไม่ได้เป็นผู้พิมพ์แต่อย่างใด หากแต่มีผู้ทำภาพตัดต่อแต่งเติมขึ้นมา จึงขอเรียนย้ำให้ทราบทั่วกัน
ในขณะที่ประเด็นที่ระบุว่าฝ่ายผู้ต้องหาไม่เคยติดต่อเข้าไปเจรจากับผู้เสียหาย ซึ่งขอเรียนว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุ ครอบครัวของผู้ต้องหาได้พยายามติดต่อหาญาติของผู้เสียหายเกือบทุกท่าน แต่การพูดคุยทำได้ไม่มากดังที่เป็นข่าว บางรายอ้างว่าต้องรอคุยกับทีมกฎหมายของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เสียก่อน แต่อย่างไรก็ตามในการเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา ฝ่ายผู้ต้องหาได้แสดงเจตนาชัดเจนและขอให้พนักงานสอบสวนนัดเจรจากับฝ่ายผู้เสียหายแล้ว แต่ภายหลังก็ได้ทราบว่า ทีมกฎหมายของธรรมศาสตร์ได้ตอบปฏิเสธเรื่องการเจรจา ข้อเท็จจริงจึงไม่ใช่กรณีที่ฝ่ายผู้ต้องหาไม่ได้พยายามที่จะเจรจากับฝ่ายผู้เสียหาย แต่เป็นเพราะความประสงค์ของตัวแทนของฝ่ายกฎหมายของผู้เสียหายต่างหาก
ทั้งนี้ทีมกฎหมายยังเรียนมายังผู้ที่สนใจในกรณีดังกล่าวว่า สิ่งที่แถลงการณ์นั้นเป็นข้อเท็จจริงจากการสอบปากคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหลักฐานที่ปรากฎชัด ซึ่งไม่ใช่คำอ้างลอยๆ เพียงเพื่อจะต่อสู้คดีเท่านั้น และฝ่ายผู้ต้องหาพร้อมที่จะไปพบพนักงานอัยการ เพื่อเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายต่อไป และหวังว่าทุกท่านคงเข้าใจและพยายามดำเนินการ เพื่อนำไปสู่การยุติของพิพาท ไม่ว่าโดยการเจรจาหรือโดยกระบวนการทางศาล เพื่อความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งต่อจากนี้จะมีการเผยแพร่แถลงการณ์ผ่านทางสื่อต่างๆ เพื่อให้สังคมได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริงกันอย่างทั่วถึงต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น