เรื่องแปลก ใหม่ น่าสนใจ ข่าวสาร บันเทิง สนุก เซ็กซี่ sexy ที่คุณ อยากรู้ ที่นี่ครับ ^^

SAMAZshop

Translate

อีกครั้งกับ THE EAGLES แห่งตำนานเพลง HOTEL CALIFORNIA ( เพลงผี ที่ใคร ๆ นึกว่า เพลงรัก ;)


 THE EAGLES เป็นวงดนตรีคันทรี ร็อกที่โผล่ออกมาจากย่าน เวสต์ โคสต์ สหรัฐอเมริกานู้นน

เจ้าของผลงานเพลงร็อกคลาสิคและอมตะอย่าง HOTEL CALIFORNIA ที่หลายคนร้องท่อน "ฮุค" ได้กันอย่างแม่นยำ

ดิ อีเกิ้ลส์นั้นดังมากๆในบ้านเรา ไปที่ไหนๆก็ได้ยินแต่ TAKE IT EASY HOTEL CALIFORNIA ดังกระหึ่ม พอกับ เพลง HOLIDAY ของ SCORPIONS ที่กลายเป็นเพลงหากินของตลกคาเฟ่ไปแล้ว เรียบร้อยแร๊นส์

วงดนตรีไทย หลายวงก็พยายามจะเล่นดนตรีในแบบของ ดิ อีเกิ้ลส์ เช่น อิสซึ่น ในอัลบั้ม "บทเพลง" เพลงที่ชื่อ "เจ้าโต" นั่นก็ใชี่เลยมาจากเพลง HOTEL CALIFORNIA

รวมไปถึงวง อินคา ด้วยนะครับ

แกน หลักของ ดิ อีเกิ้ลส์ คือ มือกีตาร์ -เกลนน์ เฟรย์ (glenn Frey) และตอนเฮนลี (Don Henley) มือกลอง ซึ่งกลายเป็นคู่หูที่ร่วมกันสร้างตำนานให้กับวงได้อย่างยิ่งใหญ่

ทั้ง คู่ร่มกันก่อตั้งวงเมื่อปี 1971 พร้อมเพื่อนนักดนตรีฝีมือดีชั้นครูอีก 2 คน คือ เบอร์นี่ ลีดอน (Bernie Leadon) กีตาร์ และแรนดี ไมส์เนอร์ (Randy Meisner) เล่นเบสได้อย่างคุ้มค่าตัว

อัลบั้มแรกของวงชื่อ EAGLES ออกมาเมื่อปี 1972 เพลงดังเพลงแรกคือ TAKE IT EASY ปีถัดมาออกอัลบั้ม DESPERADO

ดิ อีเกิ้ลส์นั้นได้เว้นช่วงเพื่อพักผ่อนผลาญเงินแฟนเพลงอยู่ประมาณปีเศษ ปี 1975 พวกเขากลับมากับอัลบั้ม ON THE BORDER ซึ่งมีสมาชิกเข้ามาเสริมอีกคน คือ ดอน เฟลเดอร์ (Don Felder) มือกีตาร์ที่โซโลกีตาร์คลาสสิคในบทเพลง โฮเต็ล เวอร์ชั่นอคูสติคเมื่อปี 94 และแนวเพลงในชุดนี้ก็เพิ่มความเป็นร็อกมากขึ้น และในปีเดียวกันก็มีอัลบั้ม ONE OF THESE NIGHT ตามออกมาอีกเพื่อดูดเงินจากกระเป๋าของแฟนเพลงอย่างเมามันส์

ปี 1979 มาถึงจุดเปลี่ยนของวงอีกครั้ง เมื่อสมาชิก 2 คน คือ ลีดอน และไมสเนอร์ ปลีกตัวออกไป แต่ก็มีสมาชิกใหม่เข้ามาเสริมทีม คือ โจ วอล์ช (Joe Walsh) ในตำแหน่งมือกีตาร์ผมบลอน และทิโมธี บี.สมิดต์ (Timothy B.Schmidt) มือเบสผมยาวเชื้อสายอีนเดียนแดงที่มีซุ่มเสียงหวานซื้งซะเหลือเกิน เวลาเห็นแกร้องเพลงแล้วใจจะขาดจริงๆเลย เพราะแกบีบเสียงออกมาสุดๆเหมือนกันเรียกว่า ฟังไปลุ้นไป ซึ่งแกร้องออกมาได้ดีจริงๆ

และปีเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็ปล่อยอัลบั้มยิ่งใหญ่ของโลกออกมานั่นคือ HOTEL CALIFORNIA เป็นอัลบั้มขายดีที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดของพญาอินทรีกลุ่มนี้ งามทั้งเนื้อหาและดนตรี

แต่หลังจากนั้น ดิ อีเกิ้ลส์ ก็เริ่มแตกแยกและสลายวงในที่สุด หลังทำงานชิ้นสุดท้ายออกมาอย่างเซ็งๆคือ THE LONG RUN

เมื่อวงแตก สมาชิกส่วนใหญ่ก็ออกไปทำเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็น เกลน เฟรย์ ดอนเฮนลีย์ หรือแม้แต่ โจ วอล์ช และบี.สมิตต์

แต่ ที่ไปได้ดีเห็นจะมีแต่เฟรย์ เท่านั้น หลังๆยังหันมาเล่นหนังด้วย ใครเคยดู เจอร์รี่ แม็กไกวร์ จะเห็นเฟรย์แวบๆในตอนต้นและท้ายเรื่อง แสดงหน่อยนึง

ปี 1994 ดิ อีเกิ้ลส์ กลับมารวมตัวทำเพลงใหม่ในอัลบั้ม HELL FREE ZES OVER และออกทัวร์กันอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนนี้เฟรย์ยืนยันเด็ดขาดว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะมารวมกันอีก เพราะเกิดการขัดแย้งกันอย่างรุนแรงกับมือกลองนั่นเอง

แต่สุดท้ายก็ คลอดอัลบัมชุดดังกล่าวออกมาสำเร็จ และดูเหมือนจะทำได้ดีซะด้วยครับ ชุดนี้จัดว่าได้รับความนิยมจากแฟนเพลงเก่าๆ และ แฟนเพลงใหม่ๆ เป็นอย่างดี หลายท่านคงจะจำคอนเสริทครั้งนั้นได้ดี และมีดีวีดีการแสดงสดขายกันอย่างต่อเนื่อง

Hotel California       :            Artist : eagle

วิดีโอ  << ชม VDO ผ่านมือถือ คลิ๊กที่นี่ ^^

Artist : Eagles
Album : Hotel California
Title : Hotel California 

On a dark desert highway, cool wind in my hair
ในความมืดมิด บนถนนไฮเวย์แถบทะเลทราย
Warm smell of colitas, rising through the air
กลิ่นอบอวลของต้น COLITAS ลอยขึ้นสู่อากาศ
Up ahead in the distance, I saw a shimering light
ผมชูศรีษะขึ้นมากลางทาง(คล้ายๆชะเง้อมองละมั้ง) แลเห็นไฟสลัว
My head grew heavy and my sight grew dim,
ผมเริ่มรู้สึกมึนหัว และการมองเห็นก็เริ่มมัวลง
I had to stop for the night
ผมคงต้องหยุดพักสำหรับคืนนี้เสียแล้ว

There she stood in the doorway, I heard the mission bell
ที่นั่นมีหล่อนยืนอยู่ตรงทางเข้าา ฉันได้ยินเสียงกระดิ่งเรียก
And I was thinking to myself: this is could be heaven or this is could be hell
และผมก็พลันนึกขึ้นกับตัวเอง "มันอาจเป็นเสียงเรียกแห่งสวรรค์ หรืออาจจะเป็นเสียเรียกแห่งนรก"
Then she lit up a candle and she showed me the way
ทันใดนั้นเธอก็จุดเทียนไขขึ้นมา และบอกทางแก่ฉัน
There were voices down the corridor,
"เสียงของพวกเขาอยู่ทางใต้ระเบียงลงไป"
I thought I heard them say:
และผมก็คิดว่าผมได้ยินเสียงของพวกเขาว่า

Chorus :

Welcome to the Hotel California
"ยินดีต้องรับสู่โรงแรม Caliornia
Such a lovely place (such a lovely place), such a lovely face
ซึ่งเป็นดั่งสถานที่แสนรัก และรูปลักษณ์อันเป็นที่รัก
Plenty of room at the Hotel California
มีห้องมากมายที่โรงแรม California
Anytime of year (any time of year), you can find it here"
ทุกๆปี คุณสามารถพบมันได้ที่นี่"

Her mind is Tiffany twisted, she got the Mercedes Benz
ความสนใจของเธออยู่ที่ Tiffany twisted เธอขับรถ Mercedes Benz
She got a lot of pretty, pretty boys, that she calls friends
เธอมีผู้ชายหน้าตาดีมากมาย นั่นเธอกำลังโทรหาเพื่อนของเธอว่า
How they dance in the courtyard, sweet summer sweat
"จะเป็นอะไรไหม หากพวกเขาจะเต้นรำที่สนามหญ้า ท่ามกลางความหวานของฤดูร้อนและหยาดเหงื่อ
Some dance to remember, some dance to forget
สำหรับการเต้นบางครั้งเพื่อจดจำ และบางครั้งเพื่อที่จะลืม..."

So I called up the captain, "Please bring me my wine", He said
ดังนั้นผมจึงโทรไปหา กับตัน เขาพูดว่า
"We haven't had that spirit here since nineteen sixty-nine"
"เราไม่มีวิญญาณที่นี่ตั้งแต่ปี 1969 แล้ว
And still those voices are calling from far away
และเสียงร้องของพวกเขายังคง เรียกหาจากที่ๆแสนไกล
Wake you up in the middle of the night, just to hear them say:
เพื่อปลุกให้คุณตื่นตอนเที่ยงคืน แค่เพื่อฟังพวกเขากล่าวว่า..."

"Welcome to the Hotel California
"ยินดีต้อนรับสู่ โรงแรม California
Such a lovely place (such a lovely place), such a lovely face
ซึ่งเป็นดั่งสถานที่แสนรัก และดั่งโฉมหน้าอันเป็นที่รัก
They livin' it up at the Hotel California
พวกเขายังคงอยู่ที่นั่น ณ โรงแรม California
What a nice surprise (what a nice surprise), bring your alibis"
อะไรคือสิ่งยอดเยี่ยมที่น่าประทับใจ นำข้ออ้างคุณมา"

Mirrors on the ceiling, the pink champagne on ice, and she said
กระจกบนเพดานห้อง และแชมเปญสีชมพูบนน้ำแข็ง และเธอกล่าวว่า
"We are all just prisoners here, of our own device"
"พวกเราทั้งหมดเป็นเพียงนักโทษของที่นี่
And in the master's chambers, they gathered for the feast
และใน Master's Chamber พวกเขาต่างสะสมเพื่องานเลี้ยงอันใหญ่ยิ่ง
They stab it with their steely knives but they just can't kill the beast
พวกเขาแทงมันด้วยมีดเหล็กล้วของพวกเขาเอง แต่พวกเขากลับไม่สามารถฆ่าความชั่วร้ายได้.."

Last thing I remember, I was running for the door
สิ่งสุดท้ายที่ผมพอจำได้ คือฉันกำลังวิ่งไปยังประตู
I had to find the passage back to the place I was before
ผมต้องหากระเป๋าเดินทาง เพื่อกลับไปยังที่ที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้
"Relax," said the night man, "We are programmed to receive
"สบายใจเถิด" พนักงานกะกลางคืนกล่าว "พวกเรามีกำหนดการรองรับไว้เป็นที่เรียบร้อย
You can check out any time you like, but you can never leave"
คุณสามารถ Check out ออกจากที่นี่ได้ทุกเวลาที่คุณต้องการ

...แต่คุณไม่มีวันได้จากไป!!!!...."


สก๊อต ฟอเรฟเวอร์ยัง จับมือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ บีอีซี-เทโร จัดคอนเสิร์ตยิ่งใหญ่ กับศิลปินระดับตำนานร็อคแอนด์โรล “อีเกิ้ลส์ ไลฟ์ อิน ไลฟ์ อิน แบ็งคอค” (EAGLES Live In Bangkok) ในวันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2554 ณ อิมแพคอารีน่า เมืองทอง ธานี

     ดิ อีเกิ้ลส์ (The Eagles) ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน คือ เกลน เฟรย์ (Glenn Frey), ดอน เฮนรี (Don Henley) , โจ วอลช์ (Joe Walsh) และ ทิโมธี บี ชมิท (Timothy B. Schit) ได้รับการยกย่องให้เป็นวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในศตวรรษด้วยผลงานเพลงยอดฮิตอย่าง “โฮเทล แคลิฟอร์เนีย” (Hotel California) และ “ไลอิ้ง อายส์” (Lyin Eyes) ผลงานอัลบั้ม แดร์ เกรทเทสฮิทส์ 71-75 (Their Greatest Hits 71-75) ของพวกเขาถูกจัดให้เป็นอัลบั้มขายดีตลอดกาลในสหรัฐอเมริกา และได้รับการจารึกสูงสุดจาก สมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา [the Recording Industry Association of America (RIAA)] ด้วยยอดขายแผ่นเสียงทองคำขาวถึง 29 ครั้ง ปี 2550 วงดิอีเกิ้ลส์ได้ปล่อยเพลงใหม่ “ลองโร้ดเอ้าท์ออฟอีเดน” (Long Road Our of Eden) ออกมา และทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ในชาร์ตเอเรีย (ARIA) และได้รับแผ่นเสียงทองคำภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ นับเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากที่พวกเขาไม่ได้ออกผลงานมานานถึง 28 ปี ซึ่งไม่มีวงดนตรีไหนในประวัติศาสตร์ ที่ประสบความสำเร็จยาวนานขนาดนี้ นอกจากความสำเร็จด้านยอดขายแล้ว พวกเขายังกวาดรางวัลมานับไม่ถ้วนเช่นรางวัลแกรมมี (GRAMMY Awards) หลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งการได้จารึกชื่อในหอเกียรติยศร็อคแอนด์โรล (Rock and Roll Hall of Fame)

     ดิ อีเกิ้ลส์ เคยเดินทางมาเปิดการแสดงในเมืองไทยเมื่อปี 2547 กับคอนเสิร์ตใหญ่ 2 รอบที่บัตรคอนเสิร์ตเกือบ 2 หมื่นใบถูกจำหน่ายอย่างถล่มทลาย ในการกลับมาครั้งนี้ ความยิ่งใหญ่ไม่แพ้ครั้งแรกแฟนเพลงของพญาอินทรีจะได้เต็มอิ่ม 3 ชั่วโมงไปกับผลงานเพลงแห่งประวัติศาสตร์ พร้อมระบบเสียงอันเยี่ยมยอด และโปรดักชั่นจากทีมงานฝีมือเก๋าระดับโลกที่จะไม่ทำให้แฟนเพลงผิดหวัง























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ติดตาม เรื่องแปลก ใหม่ ตลก สนุก เซ็กซี่ sexy น่าสนใจอื่น ๆ หรือแวะมาทักทายกัน ได้ที่
www.facebook.com/somphon http://gplus.to/somphon www.twitter.com/samaphon www.facebook.com/somphon.me http://samaphon.blogspot.com/

          ขอขอบคุณที่มา : email