เรียกได้ว่าการแต่งกายของ"เลดี้ กาก้า"นัก ร้องสาวสุดแปลกได้มีอิทธิพลต่อบรรดาแฟนคลับของเธอเสียแล้ว เมื่อแฟนคลับรายหนึ่งฆ่าแมวอายุ 15ปีเพื่อใช้เลือดของมันมาทาตัวและเสื้อผ้าเพื่อใส่ไปชมคอนเสิร์ต"เลดี้ กาก้า"
แฟนคลับสาวใจโหดรายนี้มีชื่อว่า แองเจลินา บาร์เนส วัย 20 ปี เธอได้ใช้เลือดแมวมาทาหน้าและแขนของเธอก่อนจะออกไปชมคอนเสิร์ตของเลดี้ กาก้า ขณะที่สมาชิกในครอบครัวต่างตกตะลึงหลังพบศพแมวและเลือดเปื้อนเต็มไปหมด
โดยแองเจลินา ได้นำแมวของครอบครัวไปไว้ในอ่างอาบน้ำและหั่นมันออกเป็นชิ้นๆ ในรายงานระบุว่ายังพบตับของแมวอยู่ในกระเป๋าเครื่องสำอางค์ของเธอด้วย
อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ ได้เปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติมว่า "มีหลายอย่างเกิดขึ้นในบ้านอย่างเช่นมีการคลุมสวิตช์ไฟด้วยเทปกาวดังนั้นเธอ ไม่สามารถเปิดไฟได้ ญาติของบุคคลผู้นี้ได้กลายมาเป็นบุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ากำลังพยายาม ทำร้ายเธอ"
แองเจลินา บาร์เนส ยังเคยถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล กริฟฟิน เมมโมเรียล ในโอกลาโฮมามาแล้ว โดยเธอเข้ารับการรักษาบำบัดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
ใครที่ใช้โทรศัพท์มือถือตั้งใจอ่านดีๆ
อ่านจบแล้วจะรู้ว่ามือถือไม่ได้มีไว้สำหรับ
โทรเข้า-โทรออกเท่านั้น
แต่ยังมีเคล็ดลับที่เพื่อนๆยังไม่รู้ซ่อนไว้อยู่
ถ้าอยากรู้ว่ามีไรอะไรบ้าง
ลองเข้ามาดูกัน
1. หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก
ถ้าเกิดเราหลงไปอยู่ในเขตที่ไม่มีสัญญาณเลย
แต่มีเหตุด่วนเหตุร้ายให้กด 112
แล้วมันจะหาเบอร์ให้เองอัตโนมัติแม้แต่เราล็อคปุ่ม
ก็ยังกดเบอร์ นี้ได้ ทีนี้เราก็รอดตายแล้ว
2. ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ... สำหรับรถที่ใช้ Remote Key
ถ้ารถล็อคไปแล้ว แต่เรามีกุญแจสำรองอยู่ที่บ้าน
ให้โทรไปหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือถือ
(เราต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ)
เมื่อเขารับแล้วให้เราบอกเขาให้กดปุ่ม unlock
บนกุญแจสำรองในขณะที่เราถือมือถือ
ให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต
(คนที่อยู่บ้านที่เราวานให้กดต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่กดปุ่ม)
ประตูรถก็จะเปิดออกเหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตัวเอง
ระยะทางไม่มีปัญหาแม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อยๆ กม. ก็ตาม
3. กรณีแบ็ตใกล้จะหมด *3370# สำหรับมือถือ Nokia
ถ้าเกิดถ่านเหลือน้อยเต็มทีจนใกล้ดับแต่เราจำเป็นต้องโทรออกให้กด
*3370# มันจะรีดพลังสำรองที่ซ่อนออกมาแล้วแสดงให้เห็นว่า
เพิ่มพลังถ่านให้ขึ้นมาอีก 50% และมันจะชดเชยส่วนสำรอง
นี้ในการชาร์จแบตครั้งต่อไป
4. ถ้าโทรศัพท์หายต้องการทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป
ในกรณีนี้เราต้องใช้หมายเลข serial number
ประจำเครื่อง ซึ่งมี 15-17 หน่วย
การที่จะทราบหมายเลขนี้กด *#06#
แล้วหมายเลขประจำเครื่องก็จะขึ้นมาให้เห็นทันทีเหมือนเล่นกล
จดไวแล้วเก็บไว้ให้ดี....ที่นี้ถ้ามือถือหายหรือตกหล่น
ให้โทรไปที่ศูนย์แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไป
เขาก็จะบล็อคเครื่องของเราให้แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย
ถึงแม้ว่าคนขโมยไปจะเปลี่ยน sim card
มันก็จะยังใช้ไม่ได้อยู่ดี
แบบนี้สะใจดีค่ะโดยเฉพาะพวกที่ชอบโขมยมือถือ
กลิ่นอายของความเก่าแก่ ทั้งวิถีชีวิตและอาคารบ้านเรือนที่ถูกห้อมล้อมด้วยท้องทะเล โดยเฉพาะที่ แทนซาเนีย ประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก
ซานซิบาร์ (Zanzibar) คือเมืองที่มีชื่อเสียงของแทนซาเนีย แม้ว่าจะยังเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้า แต่ก็หาได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวแม้แต่น้อย เพราะที่นี่มีความพร้อมที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยไมตรีเสมอมา
เกาะซานซิบาร์ เป็นเกาะที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของแทนซาเนียอีกเกาะ ในปี ค.ศ.2000 เขตเมืองหินซานซิบาร์ ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลก และยังเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญทางชายฝั่งของสวาฮิลี (Swahili) ของแอฟริกาตะวันออกอีกด้วย
เมืองหินโบราณ (Stone Town) ยังคงเป็นอีกเมืองที่มีการอนุรักษ์รูปแบการก่อสร้างและภูมิทัศน์ของเมืองไว้ เหมือนดังเช่นในอดีต เริ่มต้นการท่องเที่ยวของคุณด้วยการเดินชมเมืองที่มีตรอกซอกซอยเยอะจนอาจทำ ให้หลงได้
จุดแรกที่น่าชมคือ ปราสาทโบราณในแซนซิบาร์ เดินชมวิวไปตามแนวระเบียง ชมป้อมโบาณที่ยังคงได้รับการบำรุงรักษามาจนถึงปัจจุบัน จากนั้นเดินซอกแซกไปตามตรอกชมบ้านเรือเก่าๆ จนมาถึง อนุสาวรีย์ทาส ซึ่งมีการจัดแสดงรูปแบบการค้าทาสในสมัยก่อน โดยทาสจะถูกโซ่ตรวรล่ามไว้กันหนี ตรงจุดนี้อาจเกิดการสลดใจขึ้นมานิดๆะคะ
หลังจากผุดซอกนั้นซอยนี้ไปหลายตลบก็มาโผล่เอาตรงท่าเรือซะที ที่นี่ดูจะมีร้านรวงเยอะแยะเต็มไปหมด ที่สำคัญคืออาหารการกินเพียบค่ะ ในช่วงใกล้ค่ำนักท่องเที่ยวจะเดินทางมาที่นี่มากขึ้นค่ะ แถมบรรยากาศริมทะเลยามใกล้ค่ำแบบนี้ช่างโรแมนติกมากๆ หลังจากจับจ่ายกันอิ่มท้องก็คงต้องกลับไปชาร์ตแบตตัวเองเสียที
เช้าวันใหม่กับเสียงคลื่นทะเลที่เหมือนนาฬิกาเรือนใหญ่ของชาวประมง วันนี้เราจะพาคุณไปเที่ยวทะเลกัน อย่าพึ่งแปลกใจนะคะว่ามาทะเลแล้วทำไมต้องบอกว่าไปเที่ยวทะเล เพราะเมื่อวานเราตะลอนเมืองกันมาแล้ววันนี้จะไปเที่ยวทะเลกันจริงๆเสียที
หาด Nungwi คือจุดหมายปลายทางของเรา อยากจะบอกว่าหาดที่นี่ขาวมาก และน้ำทะเลก็ใส่จนเห็นตัวปลากันเลยทีเดียวค่ะ เมื่อมองลงไปในทะเล คุณะพบว่ามีเรือลอยเต็มไปหมด อากาศยามเช้าอันแสนสดชื่นแบบนี้ ถ้าได้ลงไปแช่น้ำสักหน่อยก็คงจะดี
สักพักเจอแม่บานชาวซานซิบาร์กำลังหอบหม้อหอบถังลงไปในทะเล ด้วยความสงสัยเราจึงต้องตามไปดู และแล้วก็ถึงบางอ้อ เพราะดูเหมือนว่าเค้ากำลังหาอะไรสักอย่างที่ฝังอยู่ตามทรายเดาๆเอา ก็คงจะเป็นพวกหอย หรือไม่ก็สัตว์ทะเลบางชนิดนั่นเองค่ะ
การท่องเที่ยวซานซิบาร์กำลังเป็นที่นิยมมากในปัจุบัน แต่นักท่องเที่ยวจากไทยเราอาจยังไม่มีมากนัก
เมืองโบราณจิ่นซี ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของนครคุนซาน มณฑลเจียงซู ห่างจากนครซูโจวไปทางตะวันออก 35 กิโลเมตร จิ่นซีเป็นเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปี เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แบบเมืองคูคลองในถิ่น เจียงหนาน ซึ่งก็คือบริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงตอนใต้ ที่ยังคงรักษาสิ่งก่อสร้างสมัยราชวงศ์หมิงและชิงไว้ได้
จวบจนปัจจุบัน เมืองโบราณแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยว สำคัญที่ยอดเยี่ยม 8 แห่งด้วยกัน เช่น หอเหวินชางเก๋อ อารามเหลียนฉือนิกายเซ็น พิพิธภัณฑ์อิฐและกระเบื้อง โบราณ สวนสาธารณะจินหลง ทั้งยังมีสะพานโบราณ และตรอกซอยเล็กๆ อันเงียบสงัดน่ารื่นรมย์ เพิ่มมนต์ เสน่ห์ให้แก่เมืองโบราณแห่งนี้
เมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าจิ่นซีเพราะมีลำธารน้อยใหญ่มากมาย จนแทบเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่โอบล้อมไปด้วย ลำธาร ไม่ว่าจะเดินทางระยะใกล้แค่ไหนก็ยังต้องพาย เรือไป ทิวทัศน์ทางธรรมชาติตลอดจนสถาปัตยกรรม ต่างๆ ทั้งลำคลอง ท่าเทียบเรือ สะพานโค้ง ลานบ้าน ระเบียงและซุ้มประตูอันเก่าแก่ ฯลฯ ต่างสะท้อนให้เห็นถึง กลิ่นอายแห่งเมืองคูคลองที่สั่งสมมาตลอดสองพันปีประดุจม้วนภาพวาดพู่กันอัน วิจิตรตระการตา
เมืองจิ่นซีเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของดินแดนเจียงหนานอัน อุดมสมบูรณ์ เมืองโบราณที่เคยเป็นแหล่งศึกษาหาความ รู้ของนักศึกษาจากต่างชาติจำนวนมากมายแห่งนี้ ยังคง รักษาความสง่างามอย่างบัณฑิตผู้ทรงภูมิไว้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้สืบทอดศิลปะการทำอิฐและกระเบื้องที่มี ประวัติอันยาวนาน
เสน่ห์ของเมืองโบราณแห่งนี้ไม่ได้อยู่ที่สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันสดชื่น เท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ทัศนีย- ภาพทางวัฒนธรรมที่ช่วยขับเน้นเสริมกับธรรมชาติ ต้นสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก หม่าหยวน (ชาตะก่อน ค.ศ.14 ปี-มรณะค.ศ.49) ขุนพลผู้โด่งดังซึ่งเคยช่วย จักรพรรดิกวงอู่ตี้หลิวซั่วทำศึกสงครามจนชนะหวาง หม่างนั้น เคยตั้งค่ายฝึกทหารอยู่ที่นี่ ศพของจางเจา (คือ เตียวเจียวชาตะค.ศ.156-มรณะค.ศ.236) เสนาบดีผู้มี ชื่อแห่งแคว้นอู๋ตะวันออก (คือง่อก๊ก)
ในสมัยสามก๊กก็ ฝังอยู่ในเมืองแห่งนี้ จิตรกรเอกสมัยตงจิ้นนามกู้ข่ายจือ (ชาตะประมาณค.ศ.345 ปี-มรณะค.ศ.409) ก็ได้ย้าย มาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ ณ เมืองนี้เช่นกัน สะพาน สือเหยี่ยน วัดกู่เหลียนริมทะเลสาบอู่เป่า และพระอาราม หลวงทงเสินทางตะวันตกของเมือง ซึ่งเคยได้รับพระราช ทานแผ่นป้ายทองคำจากจักรพรรดิเสี้ยวจงตี้ (ครองราชย์ ค.ศ.1163-1190) ล้วนแต่เป็นโบราณสถานที่มีประวัติ ยาวนานมาตั้งแต่สมัยต้นราชวงศ์ซ่งใต้ทั้งสิ้น
เมืองจิ่นซีมีลำน้ำใส มีสะพานมากมาย มีถนนน่าชม มีตรอกซอยเงียบสงัด มีสวนเงียบสงบ หากไม่ได้มา สัมผัสด้วยตัวเอง คงยากจะหาถ้อยคำมาอธิบายได้ พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นเมืองที่เพิ่มขึ้นมาหมาดๆ อีกหกแห่ง ยังมีวัตถุล้ำค่าและตำนานเล่าขานให้ชื่นชมอีกนับไม่ถ้วน ระเบียงและกระโจมริมน้ำคลาคล่ำไปด้วยผู้คน กลิ่น อาหารเย็นหอมกรุ่นลอยมาแตะจมูก
ภายในโรงตีเหล็ก แผ่นสังกะสี นายช่างผู้สูงวัยที่สวมแว่นสายตากำลังทุบ ถังน้ำสังกะสีใบสุดท้ายของวัน ใต้แสงไฟสลัว กล้องถ่าย รูปจับภาพเลือนรางตรงหน้า มองเห็นเป็นโครงร่างเหมือน ภาพวาดแนวอิมแพรสชั่นนิสม์......นี่แหละ เมืองโบราณ จิ่นซี